เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก  (อ่าน 19433 ครั้ง)

ออฟไลน์ monfils

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 9
เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« เมื่อ: วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 12:40 น. »
สวัสดีค่ะ  ขอเข้ามาเล่าประสบการณ์และรับคำแนะนำดีๆสำหรับโรคลมชักด้วยนะคะ  ลูกชายอายุ 14 ปี 4 เดือน สูง 182 ซม. หนัก 85 ก.ก. ร่างกายแข็งแรง เป็นนักกีฬา ไม่เคยได้รับอุบัติเหตุทางศีรษะรุนแรงเลย จนเดือน ต.ค 52 น้ำหนักลูกเริ่มลดลงเรื่อยๆรวม 12 ก.ก จนถึงเดือน ธ.ค.ลูกเริ่มเป็นลมวูบที่ ร.ร. และที่บ้านบ่อยครั้ง เฉลี่ย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์  ก็ยังไม่เอะใจคิดว่าลูกลดน้ำหนักมากไป (อยากหล่อ) และซึมลงจนเห็นได้ชัดเลยบอกลูกว่าไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว  ก็ไม่ดีขึ้น  ประจวบกับช่วงนี้เริ่มสอบก็เลยคิดว่าปิดเทอมแล้วค่อยมาตรวจร่างกาย  วันที่ 4 ก.พ. 53 ลูกกลับจาก ร.ร. เดินเข้าบ้านเรียก แม่ ได้ คำเดียวก็ล้มลงต่อหน้าเลย  ลูกหมดสติแต่ตาลืมค้างแข็งอยู่  ก็เลยรีบพาลูกส่ง รพ.หมอก็สั่งตรวจทางร่างกายทุกอย่าง ตรวจเลือด ตรวจ EKG ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ (อ้อ ดิฉันอยู่ ตจว. หมอเด็กที่ รพ.ก็จะตรวจโรคทั่วไปเท่านั้น)ก็รักษาแค่ฉีดกลูโคสและบอกให้พักผ่อน 2-3 วัน  โชคดีมากวันรุ่งขึ้นได้คุยกับพี่ที่ทำงานเรื่องลูก  แกบอกว่าญาติแกก็เป็นคล้ายๆกัน  เจออาการตอนอายุ 37 ให้รีบพาลูกไปพบแพทย์ด้านสมองเลยนะ  วันเสาร์ก็เลยรีบพาลูกไปพบแพทย์ด้านสมองที่คลินิกพร้อมผลแลป และผล CT พอได้พบหมอเล่าอาการและถามอาการจากลูก หมอบอกว่าลูกเป็นโรคลมชัก 100%  ความรู้สึกตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นคงจะทราบดีนะคะว่าเป็นยังไง  นะนาทีนั้นสมองของแม่มันว่างไปเลยคะ (สติแตกไปแล้ว) แล้วคำถามอีกเป็นร้อยก็เริ่มเข้ามา อะไร ทำไม ยังไง เกิดกับลูกเราได้ยังไง  เพราะว่าโรคนี้พูดจริงๆคือไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับบ้านเรา ไม่มีประวัติญาติพี่น้องเป็นทั้งสองฝ่าย ไม่เคยมีไข้ชัก และลูกก็สมบูรณ์แข็งแรงมาตลอด  ยังดีที่พ่อตั้งสติได้ก่อนคุยกับหมอจนพอจะเข้าใจในระดับหนึ่ง หมอจะให้admitt ที่ รพ.ศรีนครินทร์ (ขอนแก่น) วันที่ 8 ก.พ. เลยเพื่อหาสาเหตุ  แต่ลูกบอกว่าติดสอบจนถึงวันที่ 25 ก.พ เลยได้ยา เดพากิน 200 มก. มากิน  จนถึงวันนี้เป็นวันที่ 6 แล้วที่ลูกเริ่มกินยา แม่ต้องมาเฝ้าลูกสอบที่ ร.ร. เพราะว่าลูกจะเบลอตลอด ระหว่างรอก็ search หาข้อมูลเรื่องโรคนี้  จนมาเจอ web นี้ ดีใจมากค่ะเพราะตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุที่ลูกเป็น ก็เหมือนยังมืดแปดด้านอยู่   ที่อ่านจากหลายๆท่านส่วนมากจะมีแต่น้องที่ยังเล็กๆอยู่  ไม่เจออายุที่เท่ากับน้องยีน  คำแนะนำจากคนรอบข้างเริ่มเข้ามา  ทั้งต้องไปหาหมอที่นั่นที่นี่  หมอต้องคนนั้นคนนี้ ต้องพาลูกไปรดน้ำมนต์กับพระวัดนี้วัดนี้ ฯลฯ  พ่อกับแม่ก็ได้แต่รับฟัง   ตอนนี้อยากได้รับคำแนะนำเรื่อง รพ.หรือสถาบันที่รักษาโรคนี้ ผลข้างเคียงของยากันชัก  และประสบการณ์จากคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นนะคะ  ขอบคุณมากค่ะ  แล้วจะมารายงานผลการรักษาของลูกเรื่อยๆค่ะ

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 12:04 น. »
ยินดีต้อนรับคุณ monfils ครับ
พอดีตอนนี้ลูกผมกำลัง admit อยู่ เดี๋ยวถ้าออกมาแล้ว จะมาเล่าอาการแล้วก็แนวทางการรักษาของน้องให้ฟังน๊ะครับ
พอดีปลีกมาได้ไม่นาน

ยังไงสู้ๆน๊ะครับ
เราทุกคนเป็นกำลังใจให้ครับ
สู้สู้

ออฟไลน์ แกมแม่เนย

  • Meeting
  • จอมพลัง
  • *
  • กระทู้: 371
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 12:31 น. »
ยินดีต้อนรับค่ะ monfils เดี๋ยวรอคุณป๊อปมาตอบนะคะ สู้ๆ ค่ะ
<ปัจจุบันรักษาโดยการผ่าตัด ทุเลาแต่ยังไม่หายขาด>

โอม ศรี คเณศายะ นะมะ ฮา
ขอบารมีองค์พ่อพิฆเนศ โปรดคุ้มครองเด็กๆ ทุกคนในเว็บลมชักคลับ ให้มีอาการดีขึ้นตามลำดับด้วยเถิด

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:43 น. »
ผมพอทราบแต่ตัวยา depakin ครับ พอดีน้องเทรนด์เจอมาเองเลย ประสบการณ์ตรง
ผลกระทบ คือ
1.ผลเกี่ยวกับตับ (ซึ่งคุณหมอจะตรวจเลือดดูระดับยา และค่าตับเป็นระยะๆครับ)
2.ผลเกี่ยวกับเกร็ดเลือดต่ำครับ (เหมือนกันครับ จะตรวจไปพร้อมกับระดับยาเป็นระยะๆครับ) ถ้าเกร็ดเลือดต่ำจะทำให้เลือดออกง่ายมากครับ
เพราะน้องเทรนด์เกร็ดเลือดต่ำมาก ปกติ 150000 เหลือแค่ 30000 เอง คุณหมองดอาหารดำแดง แล้วล่าสุดก็หยุดให้ยา depakin ไปแล้วครับ
ซึ่งน้องทานยา dep ปริมาณมากด้วยที่กินปัจจุบัน ก็ 1.5cc เช้า/เย็น  ทานมาประมาณ 7 เดือน ตอนแรกก็แค่ 0.4 เพิ่มมาเรื่อยๆ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยหรือเปล่า ประกอบกับที่น้องเกร็ดเลือดต่ำช่วงนั้นไข้ขึ้น 39  ด้วย ตอนนี้เกร็ดเลือดน้องก็ค่อยๆขึ้นมาแล้ว แต่สาเหตุที่ทำให้เกร็ดเลือดต่ำไม่ใช่มาจากยา depakin ตัวเดียว คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะว่ามีไข้ด้วยครับ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยเกร็ดเลือดต่ำโดยไม่มีไข้มาแล้วครั้งนึง คุณหมอก็ลดยาลงไป 0.2 จาก 1.7 ก็เหลือ 1.5 cc เช้า/เย็นครับ )

3.ทำให้ซึมครับ สังเกตว่า พอหยุดยา depakin แล้ว น้องดูพัฒนาการดีขึ้น ร่าเริงขึ้น อย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนไม่เคยพูดโต้ตอบ แต่ตอนนี้เหมือนกับว่า สื่อสารกับเราได้ พอเราคุยด้วยเขาก็จะเหมือนรับรู้ครับ คุณหมอบอกว่า ตอนนี้น้องพัฒนาการเหมือนเด็กอายุ 2-3 เดือน ทั้งๆที่ตอนนี้น้องเทรนด์อายุ 11 เดือนแล้ว ครับ  

ส่วนการรักษา มีหลายที่น๊ะครับ
ที่ได้ยินบ่อยๆก็เป็น รพ.จุฬา  รพ.ประสาท รพ.ศิริราช รพ.รามา แต่น้องเทรนด์ตอนนี้รักษาที่ รพ.พระมงกุฏครับ เพราะว่าคลอดที่นี่
ทำเบิกได้ แล้วก็สะดวกเดินทางหนะครับ

ข้อมูลต่างๆ เดี๋ยวจะพยายามหาในเน็ตมาแปะไว้ให้น๊ะครับ
สู้ๆครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 07:10 น. โดย popja »
สู้สู้

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:44 น. »
  
    ชื่อสามัญ   Phenytoin [sodium](ชื่ออื่น)  
  
    ชื่อการค้า
    Dilantin ไดแลนติน(ชื่อบริษัท)
 
  
    รูปแบบยา     แคปซูล (ควบคุมการปลดปล่อยยา)
  
    ยานี้ใช้สำหรับ
  ยานี้ใช้เพื่อควบคุมหรือรักษาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy)
ยานี้ใช้เพื่อป้องกันการชักในระหว่างหรือหลังการผ่าตัด
ยานี้ใช้เพื่อควบคุมภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia)
ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคปวดศีรษะไมเกรน (migraine) และอาการปวดเส้นประสาทที่ใบหน้า
ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยจึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
 
    วิธีใช้ยา
  ยานี้อยู่ในรูปแบบยาแคปซูลชนิดควบคุมการปลดปล่อยตัวยา ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละครั้งก่อนนอน หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีตอนก่อนนอน และควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง
ควรรับประทานยาพร้อมอาหาร เนื่องจากยานี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
กลืนยาทั้งแคปซูล ห้ามบด เคี้ยว เปิดแคปซูล หรือทำให้ยาข้างในแคปซูลแตก
ห้ามเปลี่ยนรูปแบบเภสัชภัณฑ์หรือยี่ห้อของยานี้เอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
ห้ามรับประทานยานี้มากกว่าหรือน้อยกว่า หรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้
ไม่ควรหยุดใช้ยาเองทันที ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการหยุดใช้ยา
ห้ามรับประทานยานี้พร้อมกับยาลดกรด
ควรรักษาสุขภาพในช่องปากและฟันโดยการแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันอาการเหงือกบวมหรืออักเสบ
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ดังนั้นจึงไม่ควรลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว
การดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยานี้อาจทำให้มีอาการมึนงงหรือง่วงซึมมากขึ้น
 
    สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
  ประวัติการแพ้ยา phenytoin sodium หรือยาอื่นๆ
ยาอื่นๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
การตั้งครรภ์ การวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
การผ่าตัดและศัลยกรรม ซึ่งรวมถึงการผ่าตัดทางทันตกรรมและการทำฟัน
การใช้ยาคุมกำเนิด
ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆ หรือบ่อยๆ
การมีหรือเคยมีความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ ตับหรือไต
การเป็นหรือเคยมีประวัติเป็นโรคเลือด (blood disorder) โรคเบาหวาน (diabetes) โรค Porphyria ภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะน้ำตาลในเลือดไม่ปกติ โรคไทรอยด์ (thyroid disease) การได้รับการรักษาด้วยรังสี
เคยมีประวัติหรือมีความคิด แผนการ หรือความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย หรือเคยมีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย
 
    ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา
  โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
 
    อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
  อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
มีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ผื่นลมพิษ บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น เจ็บหรือแน่นหน้าอก มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป สับสน ปัสสาวะมีสีน้ำตาลหรือสีเหลืองคล้ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเร็วผิดปกติ มีไข้และเจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองบวมโต มีอาการชักที่แย่ลงไปจากเดิม การเคลื่อนไหวของร่างกายหรือการเดินลำบาก ผิวหนังบางลง ลอก บวมพอง แดง ซึ่งรวมถึงเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปาก มีเลือดออก รอยช้ำ หรือมีจุดรอยช้ำสีแดงบนผิวหนัง อารมณ์เปลี่ยนแปลง มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย หรืออยากตาย ตาหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างผิดปกติ มีเลือดกำเดาไหล พูดตะกุกตะกักหรือไม่ชัด
อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
เหงือกอักเสบ บวม แดง หรือมีเลือดออก ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน หลับยากหรือนอนไม่หลับ เส้นผมหรือขนยาวขึ้นอย่างผิดปกติ หรือมีขนขึ้นตามร่างกายและใบหน้าอย่างมากผิดปกติ
 
     การเก็บรักษายา
  เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก
เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
เก็บยานี้ในภาชนะที่ป้องกันแสงได้ เช่น ขวดหรือซองสีชา
ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ
 



อ้างอิงจาก
http://www.yaandyou.net/search2_web.php?nsetid=3044&tradename=Dilantin%20%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99&dosageform=&gen_name=d

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:49 น. โดย popja »
สู้สู้

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:47 น. »
   ชื่อสามัญ   Valproic acid(ชื่ออื่น)  
  
    ชื่อการค้า
    Depakine solution 200 mg(ชื่อบริษัท)
 
  
    รูปแบบยา     ยาน้ำสำหรับรับประทาน
  
    ยานี้ใช้สำหรับ
  ยานี้ใช้เพื่อควบคุมหรือรักษาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy)
ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาภาวะ mania ในโรค Bipolar disorder
ยานี้ใช้เพื่อป้องกันโรคปวดศีรษะไมเกรน (migraine)
ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยจึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
 
    วิธีใช้ยา
  ยานี้ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละ 2-4 ครั้ง หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที และควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง
ห้ามรับประทานยานี้มากกว่าหรือน้อยกว่า หรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้
ไม่ควรหยุดใช้ยาเองทันที ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการหยุดใช้ยา
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ดังนั้นจึงไม่ควรลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว
การดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยานี้อาจทำให้มีอาการมึนงงหรือง่วงซึมมากขึ้น
ควรใช้ช้อนสำหรับตวงยาโดยเฉพาะในการรับประทานยา ไม่ควรใช้ช้อนชงกาแฟหรือช้อนโต๊ะในครัวเรือนทั่วไป
 
    สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
  ประวัติการแพ้ยา valproic acid (valproate sodium, divalproex sodium) หรือยาอื่นๆ
ยาอื่นๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
การตั้งครรภ์ การวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
หากท่านกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด หรือการทำทันตกรรมใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่าท่านกำลังใช้ยานี้อยู่
การมีหรือเคยมีความผิดปกติของการทำงานของตับหรือไต
การเป็นหรือเคยมีประวัติเป็นโรคเลือด (blood disorder) โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองหรือสมองเสียหายถูกทำลาย ภาวะโปรตีนในเลือดต่ำ โรค Urea Cycle Disorder (UCD) การติดเชื้อ HIV, cytomegalovirus (CMV) ภาวะไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia) ภาวะการพัฒนาล่าช้า (mental retardation) ภาวะหมดสติเป็นเวลานาน (coma) อาการสับสน สูญเสียความสามารถในการคิดหรือเข้าใจ หงุดหงิด อาการเหนื่อยหรืออ่อนแรงอย่างมาก อาการอาเจียน
เคยมีประวัติหรือมีความคิด แผนการ หรือความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย หรือเคยมีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย
เคยมีประวัติคนในครอบครัวเสียชีวิตหลังคลอดภายในระยะเวลา 1 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ
 
    ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา
  โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
 
    อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
  อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
มีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ผื่นลมพิษ บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ใบหน้า คอ ตา ริมฝีปาก ลิ้น มือ แขน น่อง ขา ข้อเท้า สายตาพร่า เห็นภาพซ้อน ดวงตาเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติหรือควบคุมไม่ได้ มีอาการชักบ่อยขึ้น นานขึ้น รุนแรงขึ้น หรือมีอาการชักที่แตกต่างไปจากเดิม คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังบางลง ลอก บวมพอง แดง ซึ่งรวมถึงเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปาก ปวดท้องอย่างรุนแรงและหดเกร็งหรือเป็นตะคริว มีอาการสั่นที่มือหรือแขน มีเลือดออก มีรอยช้ำอย่างผิดปกติ หรือมีจุดรอยช้ำสีแดงบนผิวหนัง อ่อนเพลียหรือไม่มีแรงอย่างผิดปกติ อารมณ์เปลี่ยนแปลง มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย หรืออยากตาย สับสน ซึมเศร้า ตาหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างผิดปกติ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวมโต หายใจหรือกลืนลำบาก ข้อไม่มีแรง
อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
ท้องผูกหรือท้องเสีย ปวดศีรษะ ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลงไป เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากขึ้น ผมร่วง หรือเส้นผมและขนเจริญอย่างผิดปกติ น้ำหนักเปลี่ยนแปลงไป น้ำหนักเพิ่มขึ้น
 
     การเก็บรักษายา
  เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก
เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ
 
อ้างอิงจาก
http://www.yaandyou.net/search2_web.php?nsetid=4073&tradename=Depakine%20solution%20200%20mg&dosageform=&gen_name=depakine solution 200 mg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:50 น. โดย popja »
สู้สู้

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:48 น. »
 
    ชื่อสามัญ   Topiramate
 
    ชื่อการค้า
    Topamax (200 mg)(ชื่อบริษัท)
 
 
    รูปแบบยา     ยาเม็ด
 
    ยานี้ใช้สำหรับ
  ยานี้ใช้เพื่อควบคุมหรือรักษาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy) และโรค Lennox-Gastaut syndrome
ยานี้ใช้เพื่อป้องกันโรคปวดศีรษะไมเกรน (migraine)
ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยจึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
 
    วิธีใช้ยา
  ยานี้อยู่ในรูปแบบยาเม็ด ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละสองครั้ง หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
รับประทานยานี้วันละสองครั้ง คือ ตอนเช้าและเย็น รับประทานยานี้ได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร แต่ควรเหมือนกันทุกครั้งที่รับประทาน และควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง
กลืนยาทั้งเม็ด ห้ามบด เคี้ยว หักแบ่งหรือทำให้เม็ดยาแตก
ห้ามรับประทานยานี้มากกว่าหรือน้อยกว่า หรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้
ไม่ควรหยุดใช้ยาเองทันที ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการหยุดใช้ยา
ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างการใช้ยานี้เพื่อป้องกันโรคนิ่วในไต
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ดังนั้นจึงไม่ควรลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว
การดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยานี้อาจทำให้มีอาการมึนงงหรือง่วงซึมมากขึ้น
 
    สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
  ประวัติการแพ้ยา topiramate หรือยาอื่นๆ
ยาอื่นๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
การตั้งครรภ์ การวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
การผ่าตัดและศัลยกรรม ซึ่งรวมถึงการผ่าตัดทางทันตกรรมและการทำฟัน
การใช้ยาคุมกำเนิด
ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆ หรือบ่อยๆ
เคยมีประวัติหรือมีความคิด แผนการ หรือความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย หรือเคยมีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย
การมีหรือเคยมีความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ ตับหรือไต
การเป็นหรือเคยมีประวัติเป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) อาการท้องร่วง (diarrhea) โรคต้อหิน (glaucoma) โรคนิ่วในไต (kidney stones) โรคปอด เช่น โรคหืด (asthma) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease, COPD) โรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) หรือโรคทางระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ภาวะเลือดเป็นกรด (metabolic acidosis) แพทย์สั่งให้รับประทานอาหารประเภท ketogenic diet โรคกระดูกน่วม (osteomalacia) ภาวะกระดูกบาง (osteopenia) ภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) โรคเบาหวาน (diabetes) โรคซึมเศร้า (depression) ภาวะอารมณ์ไม่ปกติ ภาวะหรืออาการที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต
 
    ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา
  โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
 
    อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
  อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
มีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ผื่นลมพิษ บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น เหงื่อออกลดลงและ/หรืออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น อ่อนเพลียหรือไม่มีแรงอย่างผิดปกติ อารมณ์เปลี่ยนแปลง มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย หรืออยากตาย ซึมเศร้า หายใจลำบาก หายใจเร็วหรือไม่เป็นจังหวะ มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ผิวหนังบางลง ลอก บวมพอง แดง ซึ่งรวมถึงเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปาก มีปัญหาการได้ยิน พูดหรือเดินลำบาก ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำบาก มีอาการชา ไร้ความรู้สึก หรือปวดที่ปลายมือปลายเท้า สายตาพร่า เห็นภาพซ้อน ปวดตา มีอาการชักที่แย่ลงไปจากเดิม หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นเร็วหรือช้าอย่างผิดปกติ เจ็บหน้าอก ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร มีไข้ หนาวสั่น ปวดหลังหรือสีข้าง ปัสสาวะมีสีคล้ำหรือมีเลือดปน หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย
อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
ความสามารถในการรับรู้รสชาติอาหารเปลี่ยนแปลงไป ปวดหรือไม่สบายท้อง มีลมในกระเพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย มีอาการปวดแสบยอดอก ท้องผูกหรือท้องเสีย ปวดศีรษะ เจ็บหรือปวดหลัง ข้อ กล้ามเนื้อ กระดูก
 
     การเก็บรักษายา
  เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก
เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 15-30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ


อ้างอิงจาก
http://www.yaandyou.net/search2_web.php?nsetid=4073&tradename=Depakine%20solution%20200%20mg&dosageform=&gen_name=depakine solution 200 mg
สู้สู้

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 01:49 น. »
 
    ชื่อสามัญ   Levetiracetam
 
    ชื่อการค้า
    Keppra 500 mg (film-coated tablets)(ชื่อบริษัท)
 
 
    รูปแบบยา     ยาเม็ด
 
    ยานี้ใช้สำหรับ
  ยานี้ใช้เพื่อรักษาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก (epilepsy)
ยานี้อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยจึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
 
    วิธีใช้ยา
  ยานี้อยู่ในรูปแบบยาเม็ด ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละสองครั้งคือ ตอนเช้าและตอนกลางคืน หรือใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
รับประทานยานี้ขณะท้องว่างหรือไม่ก็ได้ และควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง
กลืนยาทั้งเม็ด ห้ามบด เคี้ยว หักแบ่งหรือทำให้เม็ดยาแตก
ห้ามรับประทานยานี้มากกว่าหรือน้อยกว่า หรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่งให้ใช้
ไม่ควรหยุดใช้ยาเองทันที ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการหยุดใช้ยา
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ ดังนั้นจึงไม่ควรลุกขึ้นยืนหรือนั่งลงอย่างรวดเร็ว
การดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยานี้อาจทำให้มีอาการมึนงงหรือง่วงซึมมากขึ้น
 
    สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
  ประวัติการแพ้ยา levetiracetam หรือยาอื่นๆ
ยาอื่นๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร ที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้หรือกำลังจะใช้
การตั้งครรภ์ การวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือการให้นมบุตร
การมีหรือเคยมีความผิดปกติของการทำงานของไต
เคยมีประวัติหรือมีความคิด แผนการ หรือความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย หรือเคยมีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย
 
    ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา
  โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
 
    อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
  อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
มีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ผื่นลมพิษ บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น อารมณ์เปลี่ยนแปลง มีความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย หรืออยากตาย ซึมเศร้า มีอาการประสาทหลอน เช่น เห็นหรือได้ยินเสียงที่ไม่มีจริง มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ปัสสาวะมีสีคล้ำ มีไข้หรือมีอาการเหมือนมีไข้ เจ็บคอ มีอาการติดเชื้อ มีปัญหาเกี่ยวกับการเดิน การทรงตัว การพูด อ่อนเพลียหรือไม่มีแรงอย่างผิดปกติ ตาหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอย่างผิดปกติ มีอาการชักบ่อยขึ้น นานขึ้น หรือมีอาการชักที่แตกต่างไปจากเดิม เห็นภาพซ้อน
อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
เบื่ออาหาร ท้องเสีย หน้ามืด เป็นลม เวียนศีรษะ มึนงง ง่วงซึม ปวดศีรษะ
 
     การเก็บรักษายา
  เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก
เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 15-30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ
 


อ้างอิงจาก
http://www.yaandyou.net/search2_web.php?nsetid=2225&tradename=Keppra%20500%20mg%20(film-coated%20tablets)&dosageform=&gen_name=keppra 500 mg (film-coated tablets)
สู้สู้

แชมป์

  • บุคคลทั่วไป
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 00:17 น. »
เป็นกำลังใจให้ครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญใดๆนะครับขั้นแรกต้องสังเกตว่าก่อนจะมีอาการชักมี aura (อาการเตือน) รึเปล่า ระหว่างชักมีสติอยู่รึเปล่าระหว่างชักมีอาการอย่างไร
หลังชักมีอาการอย่างไรบ้าง ส่วนยาเดพากินจะทำให้ขนขึ้นไว ขึ้นมาก แต่ถ้ามีอาการผื่นแดงไม่จำเป็นต้องคันหรือาจคัน ให้ปรึกษาคุณหมอทันทีนะครับ ถ้าการกินยาสามารถทำให้อาการชักลดลง หรือ หายไปอย่างเห็นได้ชัด คุณหมออาจจะให้กินยาต่อไปเป็นเวลา 2 ปี (เป็นการรักษาทางยา) ถ้าในระหว่าง 2 ปี ไม่มีอาการชักคุณหมออาจสั่งลดปริมาณยาลงจนสามารถเลิกยา แต่ถ้ามีอาการในระหว่างกินยาควรแจ้งให้คุณหมอทราบ

แชมป์

  • บุคคลทั่วไป
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 12:51 น. »
คุณแม่น้องยีนครับ ผมอยากจะขอ E-mail คุณแม่ได้ไหมครับ เพื่อมีคำแนะนำดีๆครับ

ออฟไลน์ monfils

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 9
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 14:24 น. »
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาให้คำแนะนำนะคะ ขอบคุณคุณป๊อบที่ให้ข้อมูลเรื่องยา  เมื่อวานนี้ 17 ก.พ ได้พาลูกกลับไปหาหมออีกค่ะ  เพราะเกิดรอยจ้ำเลือดขึ้นที่ขา  ขึ้นเร็วมากภายในวันเดียวเต็มทั้งขา  หมอเจาะเลือดตรวจผลค่ายาสูงเกิน (หมอไม่แจ้งว่าเท่าไหร) ให้งดยาเหลือเช้า-เย็น แล้วดูอาการอีก 2- 3 วัน ส่วนอาการวูบก็ยังเป็นอยู่แต่เป็นแค่วันละครั้ง อาจจะได้เปลี่ยนยา เป็นห่วงเค้าก็แต่อาการแพ้นี่แหละค่ะเริ่มเบื่ออาหาร  คลื่นไส้  ได้แต่บอกลูกให้พยายามอดทนพ้นช่วง 2 -3 เดือนไปได้ก็จะสบายกว่านี้ (ตามที่หมอแนะนำ) ได้ติดต่อไปที่สถาบันจุฬาภรณ์แล้วค่ะ ปรากฏว่าเค้ารับตั้งแต่ 15 ปี บริบูรณ์ ลูกอายุยังไม่ถึงคงต้องรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ไปก่อน  วันนี้ก็ได้สอบวิชาช่วงเช้า  ช่วงบ่ายขาดสอบ  ลูกโตก็เป็นปัญหาอีกอย่างต่างจากลูกเล็กๆเลยนะคะ  ด้านความรู้สึกเจ็บปวดเค้าบอกเราได้  แต่ด้านอารมณ์ความคิดเราต้องพูดให้เค้าเข้าใจ  ตอนแรกลูกเหมือนจะปฏิเสธการรักษาเพราะอายเพื่อนที่แม่ต้องมานั่งเฝ้า  เอาข้าวเอายามาส่ง ห้ามทำนู่นทำนี่  ตอนแรกไม่รู้จะทำยังไง  เลยเปิดบอร์ดนี้ให้เค้าอ่านเรื่องของน้องเทรนด์กับน้องเนย  บอกเค้าว่าน้องอายุแค่นี้ตัวน้องเล็กแค่นี้ต้องกินยาต้องเจาะเลือดมากว่ายีน คุณพ่อคุณแม่น้องก็เหนื่อยดูแลน้องมากกว่าพ่อกับแม่ตั้งเยอะ น้องยังสู้น้องยังยิ้มได้เลย เค้าก็อึ้งไปเลยค่ะ แล้วเค้าก็เชื่อฟังดีขึ้น ขอบคุณมากๆเลยนะคะ  เพราะหมอเค้ารักษาด้านร่างกายแต่ด้านจิตใจเราต้องพยายามสู้และเข้มแข็งให้ได้  ขอเป็นกำลังให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นด้วยนะคะ E-mail: genegam@hotmail.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 14:33 น. โดย monfils »

แชมป์

  • บุคคลทั่วไป
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 13:50 น. »
ยาเดพากินจัดเป็นยาพื้นฐานสำหรับคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคลมชักทานเป็นชนิดแรกนะครับซ้ำยังถูกใช้ในห้องผ่าตัดทางสมองหรือทางระบบประสาทต่างๆเพื่อป้องกันอาการชักจากการผ่าตัดครับ

แชมป์

  • บุคคลทั่วไป
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 21:38 น. »
ขอเพิ่มเติมต่อนะครับต่อจากกระทู้ข้างบนของผมพอดีมีธุระครับผมขออธิบายต่อเลยนะครับ(อันนี้ผมคิดเองนะครับ) เนื่องจากการรักษาโนคลมชักสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดและรักษาทางยา
เพราะฉะนั้นการจ่ายยาเดพากินก่อนเหมือนเป็นการดูว่าแพ้ยาเดพากินหรือเปล่า ถ้าไม่แพ้ยาถ้ามีการผ่าตัดทางระบบประสาทหรือสมองก็สามารถใช้ยาเดพากินเป็นยากันชักในห้องผ่าตัดได้ครับ

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 00:13 น. »
ขอขอบคุณทุกท่านที่มาให้คำแนะนำนะคะ ขอบคุณคุณป๊อบที่ให้ข้อมูลเรื่องยา  เมื่อวานนี้ 17 ก.พ ได้พาลูกกลับไปหาหมออีกค่ะ  เพราะเกิดรอยจ้ำเลือดขึ้นที่ขา  ขึ้นเร็วมากภายในวันเดียวเต็มทั้งขา  หมอเจาะเลือดตรวจผลค่ายาสูงเกิน (หมอไม่แจ้งว่าเท่าไหร) ให้งดยาเหลือเช้า-เย็น แล้วดูอาการอีก 2- 3 วัน ส่วนอาการวูบก็ยังเป็นอยู่แต่เป็นแค่วันละครั้ง อาจจะได้เปลี่ยนยา เป็นห่วงเค้าก็แต่อาการแพ้นี่แหละค่ะเริ่มเบื่ออาหาร  คลื่นไส้  ได้แต่บอกลูกให้พยายามอดทนพ้นช่วง 2 -3 เดือนไปได้ก็จะสบายกว่านี้ (ตามที่หมอแนะนำ) ได้ติดต่อไปที่สถาบันจุฬาภรณ์แล้วค่ะ ปรากฏว่าเค้ารับตั้งแต่ 15 ปี บริบูรณ์ ลูกอายุยังไม่ถึงคงต้องรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ไปก่อน  วันนี้ก็ได้สอบวิชาช่วงเช้า  ช่วงบ่ายขาดสอบ  ลูกโตก็เป็นปัญหาอีกอย่างต่างจากลูกเล็กๆเลยนะคะ  ด้านความรู้สึกเจ็บปวดเค้าบอกเราได้  แต่ด้านอารมณ์ความคิดเราต้องพูดให้เค้าเข้าใจ  ตอนแรกลูกเหมือนจะปฏิเสธการรักษาเพราะอายเพื่อนที่แม่ต้องมานั่งเฝ้า  เอาข้าวเอายามาส่ง ห้ามทำนู่นทำนี่  ตอนแรกไม่รู้จะทำยังไง  เลยเปิดบอร์ดนี้ให้เค้าอ่านเรื่องของน้องเทรนด์กับน้องเนย  บอกเค้าว่าน้องอายุแค่นี้ตัวน้องเล็กแค่นี้ต้องกินยาต้องเจาะเลือดมากว่ายีน คุณพ่อคุณแม่น้องก็เหนื่อยดูแลน้องมากกว่าพ่อกับแม่ตั้งเยอะ น้องยังสู้น้องยังยิ้มได้เลย เค้าก็อึ้งไปเลยค่ะ แล้วเค้าก็เชื่อฟังดีขึ้น ขอบคุณมากๆเลยนะคะ  เพราะหมอเค้ารักษาด้านร่างกายแต่ด้านจิตใจเราต้องพยายามสู้และเข้มแข็งให้ได้  ขอเป็นกำลังให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นด้วยนะคะ E-mail: genegam@hotmail.com

ไม่ทราบว่าคุณหมอวินิจฉัยเรื่องรอยจ้ำว่าอย่างไร
สู้ๆครับ
สู้สู้

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
Re: เมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคลมชัก
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 00:17 น. »
ขอเพิ่มเติมต่อนะครับต่อจากกระทู้ข้างบนของผมพอดีมีธุระครับผมขออธิบายต่อเลยนะครับ(อันนี้ผมคิดเองนะครับ) เนื่องจากการรักษาโนคลมชักสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดและรักษาทางยา
เพราะฉะนั้นการจ่ายยาเดพากินก่อนเหมือนเป็นการดูว่าแพ้ยาเดพากินหรือเปล่า ถ้าไม่แพ้ยาถ้ามีการผ่าตัดทางระบบประสาทหรือสมองก็สามารถใช้ยาเดพากินเป็นยากันชักในห้องผ่าตัดได้ครับ


ไม่ทราบว่าคุณแชมป์เป็นคุณหมอหรือเปล่าครับ
เห็นอธิบายได้ลึกดีจัง
ต้องขอบคุณครับที่มาช่วยให้ความรู้
สู้สู้

 


Powered by EzPortal