เมื่อวานได้พาลูกไปพบคุณหมอที่ รพ.กรุงเทพมาค่ะ นำผล EEG และประวัติไปด้วย ตอนแรกคุณหมอซักประวัติคร่าวๆแล้ว เห็นว่าเคยทาน dpk แล้วเพิ่ม dose จนเปลี่ยนมาเป็น keppra คุณหมอบอกว่าอนาคตน้องมีแนวโน้มจะดื้อยา ส่วนตอนนี้กำลังลด dpk (จนเหลือ 0) แล้วทาน keppra นั้นก็แล้วแต่ความเห็นของหมอแต่ละคน คือบางคนอาจให้กินควบคู่กันไปก่อน 2 ตัวก่อนที่จะตัดออกก็ได้ แต่พอคุยไปคุยมา จากประวัติการชักของไตตั้นตลอด 2 ปี ดังนี้
เริ่มชักตอน 1.2 ขวบ เป็นการชักแบบไม่มีไข้ กระตุกข้างซ้ายข้างเดียวนานประมาณ 15 นาที
ครั้งที่ 2-3 ชักเพราะมีไข้ (38.2 c) กระตุกทั้งตัว
ครั้งที่ 4-6 ชักขณะวิ่งเล่น เหนื่อย ไม่มีไข้
ครั้งที่ 7-10 (ตั้งแต่ พค.ปีที่แล้ว - ปัจจุบัน ช่วงเวลาประมาณ 1 ปี) ชักจากไข้ มีทั้งแบบ กระตุกข้างซ้ายข้างเดียว เกร็งอย่างเดียว(ไม่กระตุก) และครั้งล่าสุด กระตุกข้างขวาข้างเดียว ค่อนข้างแรง
คุณหมอดูภาพรวมแล้ว สรุปให้ว่าน้องน่าจะเป็นโรคลมชัก และอาจเป็น Febrile Convalsion ในบางช่วง
สำหรับผล EEG ที่เคยทำ เอาไปให้คุณหมอดู เห็นหมอว่าปกติ คลื่นที่อ่านมาว่าเป็นคลื่นชัก น่าจะเป็นคลื่นขณะหลับ (อ่านไม่เหมือนกันซะแล้ว)
อันนี้มาหาจาก Net ภายหลังนะคะ
ภาวะชักจากไข้สูงหรือ febrile seizure, febrile convulsion นั้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก อุบัติการพบประมาณ 2-5 % ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี แต่ในบางกลุ่มของประชากรมีรายงานสูงถึง 15 %
ข้อบ่งบอกในการวินิจฉัย มีดังนี้ :
1.โดยส่วนใหญ่จะเกิดร่วมกับภาวะไข้ที่มักสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
2. อายุมักน้อยกว่า 6 ปี(จากรายงานอ้างอิงพบอยู่ในช่วง ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 6 ปี
หรือแตกต่างกันไปเล็กน้อยแล้วแต่แหล่งที่มา)
3.การชักส่วนใหญ่เป็นแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว เท่า ๆ กันทั้งซ้ายขวา(generalized tonic clonic)
4.ไม่มีโรคติดเชื้อของระบบประสาทหรือสมองส่วนกลางร่วม
5.ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผันผวนของเกลือแร่และสารนำในร่างกาย
6.ไม่เคยมีประวัติในอดีต ว่าเด็กเคยมีภาวะชักโดยไม่มีไข้มาก่อน
การแบ่งกลุ่ม :
ในปัจจุบันเพื่อง่ายต่อความเข้าใจเราแบ่งภาวะชักจากไข้สูงออกเป็นสองสาเหตุหลักคือ
การชักจากไข้สูงที่ไม่ได้มีอันตราย(simple febrile seizure) ซึ่งจะชักตามหลังจากไข้สูง ชักไม่นานกว่า 15 นาที ไม่มีการชักแบบเฉพาะที่(focal seizure) เช่น ขาหรือแขนกระตุกข้างใดข้างหนึ่ง และเด็กมักหลับหรืออ่อนเพลียหลังจากมีอาการชัก(post ictal phase)โดยถ้ามีการชักซ้ำก็ไม่ควรติดต่อกันนานกว่า 30 นาที หรือไม่รู้สติเลยในระหว่างการชักซ้ำ ๆ นั้น
อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มชักจากไข้สูงที่มีอันตราย(complex febrile seizure)ในกลุ่มนี้มักชักนานกว่า 15 นาทีม อาจชักกระตุกเฉพาะที่ เช่น แขน ขาข้างใดข้างหนึ่ง มีแขนขาอ่อนแรงหลังจากชัก(post ictal paralysis) และถ้าชักซ้ำ ๆ อาจติดต่อกันนานกว่า 30 นาที ในกลุ่มนี้อาจเป็นโรคลมชัก๖หรือ เราชอบเรียกกันว่าลมบ้าหมู)ที่ซ้อนเร้นและถูกกระตุ้นจากภาวะไข้ โดยบางครั้งในกลุ่มนี้การชักมักไม่ค่อยสัมพันธ์กับความรุนแรงหรือสูงของไข้
สาเหตุการเกิดและพยาธิสภาพของการเกิด :
มักพบอยู่ในช่วง ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 6 ปี และเกิดบ่อยในช่วงอายุ 12-18 เดือน มักเกิดขณะที่ไข้ขึ้นสูงโดยที่สาเหตุของอาการไข้ที่เป็นสาเหตุ อาจมีสาเหตุมาจาก
1.การติดเชื้อทั่วไป เช่น การเป็นหวัดเจ็บคอ คอหรือหลอดลมอักเสบ ซึ่งสาเหตุเกิดได้ทั้งไวรัส(พบมากกว่า)และแบคทีเรีย โดยสาเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เป็นไวรัสไข้หวัด(influenza) หรือ parainfluenza (พบราว 16-20 %) , ไวรัส RSV(พบราว 4-5 %) โดยที่ไม่มีนัยสำคัญว่าไวรัสตัวไหนมีสัมพันธ์หรือเป็นสาเหตุกับภาวะชักจากไข้สูงชัดเจน แต่ก็มีรายงานว่าเกิดจากเชื้อตระกูลเริม(human herpes virus type 6) ได้สูงในกลุ่มที่เป็นชักแบบอันตรายและในกลุ่มที่ชักซ้ำ (complex and recurrence febrile seizure)
2.การฉีดวัคซีน มีรายงานว่ามีความสัมพันธ์กับการให้วัคซีนป้องกัน คอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ชนิด whole cell(DTP) และ วัคซีนป้องกัน หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม(MMR) มากกว่าชนิดอื่น มีการวิจัยศึกษาว่าโอกาสเกิดไข้สูงและชักจากไข้สูงสำหรับวัคซีนป้องกัน คอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ชนิด whole cell(DTP) ส่วนใหญ่มักเกิดในวันแรกที่ได้รับวัคซีน สำหรับ วัคซีนป้องกัน หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม(MMR) มักเกิดในช่วง 1-2 อาทิตย์หลังได้รับวัคซีน โดย มี relative risk เท่ากับ 5.7 และ 2.8 ตามลำดับ (5) แต่ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ชนิดที่เป็น acelular (DTPa) ทำให้มีไข้น้อยลงหลังจากรับวัคซีนและโอกาสเกิดชักจากไข้สูงก็มีอุบัติการลดลงไปด้วยเมื่อใช้วัคซีนชนิดนี้
อาการและอาการแสดง :
อย่างแรกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าชัก ?
เป็นคำถามที่แพทย์มักถาม สิ่งสังเกตุคือ เด็กมีอาการเกร็ง กระตุก ทั้งตัวหรือบางส่วน ตาลอย เหลือกหรือกระตุกตามไปกับอาการชัก น้ำลายฟูมปาก(บางราย) ริมฝีปาก-ปลายมือปลายเท้าเขียว เรียกไม่รู้สึกตัว ปัสสาวะอุจจาระราด ชักราวกี่นาที ผู้ปกครองควรตั้งสติให้ดีและสังเกตุอาการเหล่านี้ไปพร้อมกับการช่วยเหลือเบื้องต้น บ่อยครั้งหากเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกผู้ปกครองมักตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก จำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเกดซำจะใจเย็นมีสติและให้การรักษาได้ดีกว่าหนแรกเสมอ ดังนั้นถ้ามีอาการชักควรนำเด็กมาตรวจที่ รพ. เสมอ เพราะบางครั้งการดูอาการอาจทำให้การชักแบบไม่มีอันตราย(simple febrile seizure) กลายเป็นชนิดที่ชักแบบมีอันตราย(complex febrile seizure) หรือชักรุนแรงแบบชักไม่หยุดซึ่งนานกว่า 30 นาทีหรือไม่รู้สติเลยในระหว่างการชักซ้ำ ๆ นั้น(status epilepticus) โดยส่วนใหญ่มักจะชักในวันแรกที่มีไข้ และไข้มักจะสูงอยู่ประมาณ 38?C หรือ 39?C สำหรับการชักรอบแรก ส่วนการชักซ้ำนั้นไข้ไม่จำเป็นที่จะต้องสูงมากนัก
การวินิจฉัยแยกโรค : ได้แก่
1. อาการหนาวจากไข้ (Shaking chills )ซึ่งไม่ใช่ภาวะชักจริง โดยจะไม่มีอาการดังต่อไปนี้ เช่น เด็กมีอาการเกร็ง กระตุก ทั้งตัวหรือบางส่วน ตาลอย เหลือกหรือกระตุกตามไปกับอาการชัก น้ำลายฟูมปาก(บางราย) เรียกไม่รู้สึกตัว ปัสสาวะอุจจาระราด สาเหตุของอาการหนาวจากไข้ (Shaking chills )เกิดจากภาวะที่อุณหภูมิกายสูงแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นจากากรเช็ดตัว หรือจากยาลดไข้ จับแล้วมักจะหยุดและเด็กจะรู้ตัวดี
2. การไม่สมดุลของเกลือแร่และสารน้ำในร่างกายโดยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพบความผิดปกติของสารน้ำและอิเล็กโตรไลต์ในผู้ป่วยไข้สูงแล้วชัก แต่ควรต้องนึกถึงในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการอาเจียน ท้องเสียและมีอาการขาดน้ำ กินอาหารไม่ได้ ก็อาจพบความผิดปกติของสารน้ำและอิเล็กโตรไลต์ได้ โดยพาะอย่างยิ่งภาวะเกลือแร่ชนิดโซเดียมต่ำหรือสูงก็ทำให้เกิดอาการชักได้เช่นกัน
3.ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมองอักเสบ มักนึกถึงในเด็กที่มีอาการไข้ร่วมกับอาการชัก พบว่า 40 % ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีอาการนำด้วยอาการชักโดยเฉพาะในเด็กเล็ก โดยที่ตรวจไม่พบอาการระคายเคืองของเยื้อหุ้มประสาท คอเกร็งแข็งเวลาตรวจ(meningeal irritation sign) จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์มักแนะนำให้เจาะตรวจน้ำไขสันหลังในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ? ปี ที่มาด้วยอาการไข้สูงและมีอาการชัก และมีข้อสังเกตว่าการไข้ร่วมกับชักซ้ำบ่อย ๆในครั้งเดียวหรือการเกิดภาวะไข้และอาการชักไม่หยุด(status epilepticus)มักเกิดจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่
อ้างอิงจาก
http://ramathibodi.blogspot.com/2009/04/3-2-febrile-seizure-febrile-convulsion.html\คุณหมอสรุปมาแบบนี้ แต่ไม่ได้ฟันธง 100% นะคะ คือเนื่องจากประวัติเคยมีทั้งชักแบบไม่มีไข้ด้วย ประมาณว่า ชักครั้งแรกๆก็น่าจะเป็นโรคลมชัก แต่ปีหลังนี่ อาจจะเป็น Febrile Convalsion ไม่ใช่ลมชัก (ไม่ใช่ epilepsy แต่ทำให้เกิดอาการชัก) และถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงก็ถือว่าไม่ค่อย serious มากเพราะจะหายได้เมื่ออายุ 6ขวบ
ถามถึงแนวทางการรักษา ก็คือรักษาโดยทานยาที่ทานอยู่นี่ไปก่อน แต่อาจจะไม่ต้องปรับยาบ่อยนัก คือไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ชักจะต้องปรับยา เพราะถ้าเป็น Febrile convalsion ปรับยาก็ไม่ได้ช่วย (อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า ค่อนข้างสับสนหน่อยๆค่ะ แต่ที่ผ่านมารักษากับคุณหมอท่านเดิม ก็ให้ปรับ dose ยาขึ้นทุกครั้ง) หากครั้งต่อไปมีไข้ ก็ให้ทาน dizepam 2 mg ทุก 6 ชม.(วันละ 4 หน) ถ้าง่วงมากก็ให้หยุดมื้อต่อไป โดยทานเฉพาะวันที่มีไข้
แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาลูกมีไข้ มักจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว ตอนกลางคืน แบบรู้ว่ามีไข้ก็ชักไปแล้ว และส่วนใหญ่พอมีไข้ไปแล้ว ก็จะไม่ค่อยมีอีก ก็ได้แจ้งคุณหมอไป หมอเลยบอกไม่มีไข้ก็ให้กินดักไว้ได้
คุณหมอนัดให้ทำ MRI และฉีดสี เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยก่อนฉีดสีต้องเจาะเลือดตรวจค่า ตับหรือไตเนี่ยแหล่ะค่ะ ว่าสามารถฉีดได้มั๊ย ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องฉีด
ส่วนเรื่อง EEG ยังไม่ต้องทำ ถ้ามีอาการครั้งต่อไปค่อยมาทำ โดยให้มาภายใน 2-3 วัน หรือภายใน 24 ชม.จึงจะดีที่สุด
หลังจากพบคุณหมอแล้ว กลับมาบ้านก็มีปัญหาสงสัยดังนี้ค่ะ
1.ถ้าเป็น Febrile convalsion คือชักจากไข้ ทานยากันชัก ก็ไม่ทำให้คุมชักได้ ใช่หรือไม่ ประมาณว่า เพราะไม่ใช่ชักโรคลมชัก
2.ถ้าเป็นไปตามที่คุณหมอสงสัย คือ ระยะแรกเป็นลมชัก (epilepsy) แต่หลังๆเป็นชักจากไข้ (Fabrile convalsion) แปลว่ายาที่ทานเพื่อคุมโรคลมชัก สามารถคุมได้แล้ว (เพราะหลังๆไม่มีว่าวิ่งเหนื่อยแล้วชัก หรือชักแบบไม่มีไข้ ) แต่ที่มามีอาการชัก เป็นเพราะจาก Febrile Convalsion ?? เพราะถ้าเป็นตามนี้แปลว่า น้องน่าจะมีโอกาสหายขาดได้เมื่ออายุเลย 6ขวบ (หรือเปล่า) แต่ถ้าไม่ใช่ตามสันนิษฐานนี้ คือ ชักจากโรคลมชัก (ซึ่งอาจมีความผิดปกติของสมอง) โตขึ้นอาจไม่หาย หรือต้องทานยาหลายตัวเพื่อคุมชักก็ได้
ยิ่งเขียนก็ยิ่งงงค่ะ อีกเรื่องก็คือ ทางโรงพยาบาลประเมินค่าใช้จ่ายในการทำ MRI มาให้
ตอนแรกก่อนทราบค่าใช้จ่ายรวม ก็ว่าจะทำที่นี่เลย เพราะทราบมาว่าถ้าที่โรงพยาบาลรัฐต้องรอคิวนาน 4-5 เดือน แล้วค่าใช้จ่าย หมื่นกว่าบาท ไม่ต่างกันมาก
แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ รพ.แจ้งมาเมื่อวานนี้ 40,000 -45,000 แน่ะค่ะ (ไม่ได้ admit)
แยกเป็น ค่าทำ MRI Brain 16,000 (ช่วงนี้ลด 25% ถึงสิ้นเดือน พ.ค.)
บวกค่าฉีดสี 6,000
เจาะเลือดดูค่าตับ ไต เพื่อพิจารณาว่าฉีดสีได้มั๊ย ประมาณ 4,000
ค่าอุปกรณ์ เครื่องมือ 9,000 บาท
ค่าดมยา 5,000-10,000 บาท
รวมแล้วก็ 40,000-45,000 บาท
ถามคุณเจนดูเห็นว่าทำที่ศิริราช รวมทั้งหมด admit ด้วย ประมาณ 14,000
ไม่ทราบว่ามีใครเคยทำ MRI ที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไรบ้างคะ