แบ่งปันความรู้โรคลมชัก

สนทนาได้ความรู้ => แชร์ประสบการณ์โรคลมชัก => ข้อความที่เริ่มโดย: nongtt ที่ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011 เวลา 01:17 น.

หัวข้อ: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011 เวลา 01:17 น.
สวัสดีค่ะ

เพิ่งเข้ามาสมัครสมาชิก ชื่อหน่องค่ะ ลูกชายชื่อไตตั้น อายุ 3 ปี 3 เดือน เริ่มชักครั้งแรกตอน 1 ขวบ 2 เดือน ตอนกำลังหลับ ไม่มีไข้ เป็นการชักแบบกระตุกข้างซ้ายข้างเดียว นานประมาณ 15 นาที admit ที่รพ. ตรวจ eeg และทำ ct scan แต่ไม่พบอะไร หมอให้เริ่ม start depakine 0.5 ml เช้า-เย็น 3 เดือนต่อมา ประมาณเดือนเมษายน 2009 ลูกเป็นไข้และมีอาการชักแบบกระตุกทั้งตัว (ระยะเวลาชักครั้งต่อๆมาจะเป็นเวลาสั้นๆครั้งละ 1-2 นาที) หมอให้เพิ่มยาจาก 0.5 เป็น 0.75 และถัดมา 1 สัปดาห์ วัดระดับยาได้ 44.93

หลังจากเดือนเมษา 2009 (ชักครั้งที่ 2) -เมษา 2010 ไตตั้นชักอีกทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งใน 3 ครั้งนี้ไม่มีไข้ แต่เกิดหลังจากวิ่งเล่นเหนื่อย และชักแบบกระตุกทั้งตัวนานประมาณ 1-2 นาที หมอสั่งเพิ่มยาจาก 0.75 เป็น 1 และวัดระดับยา (หลังเพิ่มยา) ได้ 53.64 แต่ 2 ครั้งหลังไม่ได้ให้เพิ่มยา

ต่อมาอีก 1.5 เดือน ลูกเป็นไข้และชักอีก admit ที่ รพ.1คืน ระดับยาช่วงมีไข้วัดได้เหลือเพียง 39.06 หมอจึงสั่งเพิ่มยาอีกเป็น 1.25

หลังออกจาก รพ. ได้เปลี่ยนมาพบคุณหมอสรวิศที่ รพ.พญาไท 3 (เดิมหาหมอที่เจ้าพระยา) คุณหมอให้เพิ่มยาจาก 1.25 เป็น 1.5 เช้า-เย็น และวัดระดับยาได้ 82.43 ซึ่งคุณหมอคิดว่าน่าจะอยู่ในระดับ OK และให้ทำ eeg อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผลออกมาว่ามีจุดผิดปกติอยู่ 1 จุด ที่สมองด้านขวา (ไม่ได้เห็นกราฟเอง คุณหมอเพียงแต่สรุปผลเล่าให้ฟังเท่านั้น )

หลังจากนั้นไตตั้นไม่ชักอีกเลยเป็นเวลา 6 เดือน แต่พอเริ่มเข้า nursery เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ก็เริ่มป่วยเป็นหวัดซ้ำๆ จนเรื้อรัง ทำให้เกิดการชักเนื่องจากไข้ตามมาอีก 3 ครั้ง ทั้ง 3 ครั้ง เกิดขึ้นคล้ายๆกัน คือจะเป็นตอนกลางคืน ประมาณ เที่ยงคืน หรือตี 4 ซึ่งก่อนนอนก็ยังดูร่าเริง ปกติดีอยู่ มารู้อีกทีก็ตอนที่ชักแล้วและจับตัวดูจึงรู้ว่าเค้ามีไข้ ซึ่งไข้ก็ประมาณ 37 กว่าๆ ถึง 38 ระหว่างนั้นคุณหมอมีการปรับยาโดยให้เพิ่มทุกครั้งหลังจากที่ชัก จนล่าสุดเป็น 2 ml เช้าและ 2.5 ml เย็น และเมื่อพุธที่แล้วก็ให้เปลี่ยนจาก depakine มาเป็น keppra เนื่องจากเห็นว่า dpk ไม่สามารถคุมชักเมื่อมีไข้ได้ โดยค่อยๆลด dpk และค่อยๆเพิ่ม keppra โดยตอนนี้ start ที่ 1 ml และเพิ่มเป็น 1.5 ml  และหากเป็นไข้แล้วชักอีกก็คงต้องเพิ่มยาเป็น step อีก (หมอนัดอีก 1 เดือนแล้วค่อยแจ้งว่าจะให้เพิ่มยังไง)

ถามถึง side effect ของยา คุณหมอบอกแค่เพียงว่า อาจมีผลทำให้ฉุนเฉียว และก้าวร้าวได้ แต่ไม่มีผลกับตับและเกร็ดเลือดเหมือน dpk
แต่เมื่อกลับมาอ่านเอกสารกำกับยาแล้วค่อนข้างกังวล เพราะเห็นเขียนว่าไม่แนะนำให้ใช้กับเด็กต่ำกว่า 4 ปี (ตอนนี้น้องอายุ 3 ปี 3 เดือนค่ะ) กลับมาบ้านแล้วจึงได้อ่าน เลยไม่ได้ถามคุณหมอว่าอายุขนาดน้องสมควรทานหรือ
ใช้เป็นยาเดี่ยวในการรักษาอาการชักชนิด partial onset กับผู้ป่วยอายุ 16 ปีขึ้นไป
ใช้เป็นยาร่วม ใน ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย ได้แก่ ง่วงนอน ความรู้สึกไม่เป็นมิตร ประสาทไหว อารมณ์ไม่คงที่ กระวนกระวาย เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย

ไม่ทราบว่ามีใครที่ลูกทานยา keppra อยู่รึปล่าวคะ และมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า กลัวเหมือนกันเรื่องการมีผลต่ออารมณ์ และสมอง ความคิด ความจำ
ควรจะเปลี่ยนมาเป็นยาตัวนี้มั๊ย หรือควรหา second openion ดี? พอจะแนะนำคุณหมอท่านอื่นให้ได้มั๊ยคะ



ตอนที่เค้ากิน dpk ก็รู้สึกเหมือนกันว่าลูกค่อนข้างอารมณ์แปรปรวน ฉุนเฉียวง่าย แต่ไม่แน่ใจว่ามาจากยาหรือเปล่า หรือว่าเป็นนิสัยของเค้าเอง เพราะเคยถามคุณหมอแล้ว แต่หมอบอกว่าไม่น่าจะใช่ กับอีกเรื่องก็คือ เรื่องกล้ามเนื้อขา เหมือนลูกขาไม่ค่อยแข็งแรง เค้าจะปีน หรือก้าวขึ้นบันได หรือ step ไม่ค่อยไหว เคยถามหมอ ก็ไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน แต่มาอ่านใน web นี้ เห็นหลายคนที่เป็นเหมือนกัน ใช่เป็นผลจากยาหรือเปล่าคะ

แต่ช่วงหลังที่เพิ่มยา dpk ให้เค้า สังเกตเห็นชัดเจนเลยว่าลูกเดินหกล้มบ่อย มักจะสะดุด หรือขาเกี่ยวกันเอง ล้มบ่อยจนเห็นได้ชัด ซึ่งหมอบอกว่าอาจเป็นผลจากยาที่เพิ่มให้เค้า ทำให้มีอาการเซ แต่ก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่มีแรง

กังวลกับยาตัวใหม่มาก กลัวว่าจะไม่สามารถคุมชักตอนมีไข้ได้ (ซึ่งหลายครั้งหลังนี้ที่ชักก็เนื่องจากมีไข้ทุกครั้ง )   แล้วต้องเพิ่มๆๆ อีก กลัวว่าจะไปมีผลต่อสมองและพฤติกรรม และอีกเรื่องก็คือไม่แน่ใจว่าควรให้ลูกไปโรงเรียนเลยหรือไม่ เพราะตั้งแต่ไปเข้า nursery ก็ป่วยตลอด นี่เดือน พ.ค.ก็เปิดเทอมอนุบาล 1 แล้ว หรือจะให้เริ่มเรียนช้าซักหน่อย ความจริงไปโรงเรียนก็ดีทกุอย่าง เค้าได้รู้จักเข้าสังคม และเรียนรู้อะไรหลายอย่าง แต่ติดอยู่เรื่องป่วยแล้วมีไข้เรื่องเดียวล่ะค่ะ ที่กลัวมากๆ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011 เวลา 10:41 น.
ตัวเองกินkeppra อยู่ค่ะ
แต่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยไม่ใช่ว่าตัวเองก้าวร้าวจากยาหรือเปล่า (แต่ถ้าตอบเองเออเอง คงบอกว่า ไม่ใช่จากยาค่ะ)
ทั้งจาก ความจำ ความคิด อารมณ์ ต่ายว่าเกิดจาก อาการป่วย และเครียด จากลมชักและคนรอบข้างมากกว่า

แต่จากที่ผ่านมา
ครั้งแรก ที่อาจารย์หมอจ่ายยาตัวนี้ให้ อธิบายว่า ยาตัวนี้เป็นยาตัวใหม่ ดีมาก  ผลข้างเคียงน้อย
พอรู้ว่า ตั้งครรภ์  อาจารย์หมอ งดจ่ายยาตัวนี้ทันที โดยอธิบายว่า เนื่องจาก ยาตัวนี้เป็นยาตัวใหม่  ยังไม่มีผลสรุปแน่นอนชัดเจน
เหมือนยา ตัวเก่าๆ

(และคงเหมือนในใบแทรกที่คุณแม่ ถืออยู่ไว้ในมือ จะเขียนว่า เนื่องจาก ยังไม่มีการศึกษาชัดเจน ไม่มีข้อมูล ฯลฯ )  

จากที่ต่ายอ่านนะ คุณแม่ถามว่า อีกเรื่องก็คือไม่แน่ใจว่าควรให้ลูกไปโรงเรียนเลยหรือไม่ เพราะตั้งแต่ไปเข้า nursery ก็ป่วยตลอด

แม้กระทั่งลูกต่ายเอง ไปรร.nursery  ยังเป็นหวัด ท้องเสีย ฯลฯ อยู่เรื่อยๆ ไม่เหมือนอยู่กับบ้าน  พอป่วย นน. ก็ลด ไม่ค่อยโต แต่ผลดีกลับมาก็คือ ได้สังคม

พอย้ายมา อนุบาล 1 อาการป่วยก็ลดลงหน่อย แต่ก็ยังพอมี

หากมีข้อสงสัยเรื่องการเข้าเรียน ต่ายแนะนำเวปนี้เลยค่ะ คุณหมอมาเอง  อ่านหรือตั้งกระทู้ก็ได้ ว่า คุณหมอท่านนี้วิจารณ์  การศึกษาไทยว่ายังไง

http://www.childrenhospital.go.th/webboard/index.php?board=2.0

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011 เวลา 21:11 น.
ขอบคุณคุณต่ายค่ะที่แนะนำมา
ไม่ทราบว่าคุณต่ายทาน keppra นี้มากี่ปีแล้วคะ
คุณหมอของน้องก็บอกเหมือนกันว่ายาค่อนข้างใหม่ แต่ฟังแล้วก็ยังสงสัยว่าที่ว่าผลข้างเคียงน้อย น้อยจริงหรือเพราะเป็นยาค่อนข้างใหม่เลยมี case น้อยหรือเปล่าไม่ทราบ
แต่เห็นว่ายาตัวนี้ใช้ได้ดีกับผู้ป่วยชักประเภทเฉพาะที่ ไม่ทราบว่าคุณต่ายเป็นลมชักประเภทไหนคะ และปัจจุบันคุมอาการชักได้แล้วรึปล่าวคะ

ที่ว่าอาจมี side effect เรื่องอารมณ์ก้าวร้าว เท่าที่อ่านดู จะบอกว่ามักเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่อ่ะค่ะ

และที่ว่ากังวลก็คือเค้าเขียนว่าไม่ควรใช้กับเด็กต่ำกว่า 4 ปี เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพเพียงพอ ก็เลยกลัวๆค่ะ และอยากทราบว่ามียาอื่นที่เหมาะสมกว่านี้หรือเปล่า

และที่ตอนนี้กังวลมากๆอีกเรื่องก็คือ เรื่องขาของน้องค่ะ คือก่อนหน้านี้ก็มีคนทักอยู่บ้างว่าเค้าดูขาไม่ค่อยจะแข็งแรง เดินแล้วมักจะหกล้ม หน่องก็ได้ถามคุณหมอที่ดูแลน้องอยู่นะคะว่ามันเกี่ยวกับยา dpk ที่ทานอยู่รึเปล่า คุณหมอก็ว่าไม่น่าจะใช่ แต่อาจเป็นเพราะน้องไม่ค่อยออกกำลังกาย เราก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อซักประมาณปีที่แล้ว น้องมักจะชักเนื่องจากวิ่งเล่นเหนื่อย ไม่ใช่ชักจากไข้ ก็เลยค่อนข้างระวัง ไม่ให้เค้าเหนื่อย หรือวิ่งมาก เลยทำให้เค้าไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่หลังจากไปโรงเรียน ไตตั้นก็ป่วยเรื้อรัง และมีอาการชักจากไข้ถึง  3ครั้ง ใน4-5 เดือน หลังชักคุณหมอก็สั่งเพิ่มยาขึ้นเรื่อยๆ น้องเพิ่งจะหายป่วยแบบหายขาดเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง หลังจากเป็นต่อเนื่องมาเดือนกว่า เลยได้พาเค้าไปเที่ยวห้างฯบ้าง ซึ่งสังเกตได้ชัดว่าน้องจะเดินหกล้มบ่อยมาก จนขาเขียวไปหมดแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากยาที่เพิ่มหรือจากอาการชักที่บ่อยขี้น ทุกวันนี้เห็นลูกเดินหรือวิ่งแล้วกลัวทุกครั้งเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2011 เวลา 21:42 น.
ขอบคุณคุณต่ายค่ะที่แนะนำมา
ไม่ทราบว่าคุณต่ายทาน keppra นี้มากี่ปีแล้วคะ
คุณหมอของน้องก็บอกเหมือนกันว่ายาค่อนข้างใหม่ แต่ฟังแล้วก็ยังสงสัยว่าที่ว่าผลข้างเคียงน้อย น้อยจริงหรือเพราะเป็นยาค่อนข้างใหม่เลยมี case น้อยหรือเปล่าไม่ทราบ
แต่เห็นว่ายาตัวนี้ใช้ได้ดีกับผู้ป่วยชักประเภทเฉพาะที่ ไม่ทราบว่าคุณต่ายเป็นลมชักประเภทไหนคะ และปัจจุบันคุมอาการชักได้แล้วรึปล่าวคะ

เท่าที่จำได้โดยประมาณ น่าจะเกิน 6 ปีแล้ว
ทานมากที่สุดก็ 250mg   2*2
แล้วมาหยุดทันทีก็ตอนที่รู้ว่าท้อง หมอสั่งงดตัวนี้ทันที (ก็คงเพราะยาค่อนข้างใหม่ ยังไม่มีรายงาน )  แล้วมาจ่ายอีก พอหมอทราบว่า ไม่ได้ให้นมลูกก็ ให้ทานต่อนะค่ะ

ปัจจุบัน คุมชักได้แล้ว(เลยมานั่งพิมพ์ได้อยู่เนี่ย)

ต่ายเป็นลมชักประเภท CPS /GTC และมีออร่าบางครั้ง

เรื่องขา น่าจะให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่น ตอบเรื่องการฝึก SI

แต่ลูกต่าย แม้ไม่ได้ป่วย ก็พัฒนาการช้า และขา แข็งแรง(มาก) แต่ "การทรงตัว" ไม่ดี เดินแล้วหกล้ม เหมือนกัน

ก็ฝึกเอง นะค่ะ เพราะหมอให้ฝึกเองไม่ได้ให้เข้าคอร์ส เช่น กระโดดบ้านลม ปั่นจักรยาน ส่วนการทรงตัวนั้น ต่ายให้เขาเดินกับ ท่อนปูน(ที่เขาทำไว้กั้นรถ) สกูตเตอร์ ก็ยังทรงตัวไม่ได้

ง่ายๆ ก็น่าจะมี เดินตามเส้นเชือก (วางเชือกเป็นทรงต่างๆ แล้วให้เขาเดินเหยียบจน ต้น-ปลาย) แล้วค่อยๆ ขยับ ความยากขึ้น

สังเกตุการ พัฒนาการ ได้จาก การ เดินขึ้นบันได ว่า เดิน แบบ ขาซ้อนขา หรือ เดิน สลับขา(แบบผู้ใหญ่)  ได้หรือยัง และยังต้อง จับมือเรามั้ย เดินขึ้นบันได้เร็วขึ้น มั่นใจขึ้นหรือเปล่า

ส่วนยา ในความเห็นต่ายนะคะ ว่า น่าจะเกี่ยวกับความง่วงซึมมากกว่า  และการชักบ่อย ก็มึนๆ ทรงตัวไม่ดีเหมือนกัน ไม่น่าจะใช่ยา (ย้ำว่า อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะค่ะ)

คงต้องฝึกแบบไม่เหนื่อยด้วยนะค่ะ  อันนี้มีผลกับการกระตุ้นการชักอยู่มาก


 

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: popja ที่ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2011 เวลา 00:10 น.
สวัสดีครับคุณหน่องแม่น้องไตตั้น

ผมป๊อปพ่อน้องเทรนด์
เรื่องยา keppra น้องเทรนด์ทานอยู่ครับ
คุณหมอบอกว่า ยาตัวนี้ มีดีที่ไม่กดการรับรู้ครับ
ทำให้การเรียนรู้ได้ปกติ
และอย่างที่คุณ Thanks-Epi ว่าครับ ผลต่อตับจะน้อยกว่า depakin

เรื่องอารมณ์ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันน๊ะครับ
แต่น้องเทรนด์ทานเหมือนจะคึกคัก แต่จะเป็นช่วงแรกๆ
ส่วนเรื่องอ่อนแรง อันนี้ผมก็อยากจะทราบเหมือนกัน
เพราะน้องเทรนด์ก็ไม่ค่อยมีแรง
จำได้ว่าตอนเขาเด็กๆ เขามีกำลังแรงดีเหมือนกัน
แต่ลองมานึกๆดู ตั้งแต่ทานยาคุมชัก
เหมือนเขาแรงหายไปเหมือนกัน

ไม่รู้จะทดสอบอย่างไร จะหยุดยาก็ไม่ได้ด้วย

ตอนนี้น้องเทรนด์ทานยา 3 ตัวครับ
มี keppra topamax แล้วก็ lamictal ครับผม

ยังไงสู้ๆน๊ะครับ
ปรึกษากันได้เสมอครับ

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: kesureepa ที่ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2011 เวลา 08:52 น.


         สวัสดีค่ะคุณหน่องคุณต่ายและพ่อน้องเทรนด์

         แอนแม่น้องหลิงหลิง อันนี้ตอบเรื่องขาไม่ค่อยมีแรงนะคะ ไม่มีความรู้ แต่ดูจากประสลการณ์นะคะ แอนว่าทุกคนเกิดจากลมชักค่ะ

         อันนี้แอนดูจากหลิงหลิงเป็นลมชักพัฒนาการหายหมด และคอที่เริ่มจะแข็งก็เอียงเริ่มอ่อนแรง ถามคุณหมอคุณหมอว่าใช่ค่ะ ส่วนของหลิงหลิงนะคะ

       
     
         เพราะหลิงหลิงเด็กอ่อนเลยทำให้รู้เรื่องสเต็ปของพัฒนาการ แต่ลูกคุณต่ายเดินได้แล้วเลยทำให้ดูยาก แต่แอนว่าลมชักนี่แหละค่ะ ทำลาย

                   
         ระบบตรงนี้ เคยอ่านของพ่อน้องเยลลี่ ก็บอกว่าน้องหกล้มบ่อยเป็นก่อนกิยยาอีก พูดง่ายก็คือก่อนรู้ว่าลูกมีลมชัก สรุปว่าแอนว่าลมชักทำลาย

             สมองทุกอย่างค่ะ  น่ากลัวสุดสุด หลิงหลิงเป็นดาวน์ แอนยังไม่กลัวเท่าลมชักเลยค่ะ

                                                                                                                                   แอน
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: ์Sandy ที่ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2011 เวลา 15:51 น.
สวัสดีครับคุณหน่อง
           ของน้องแซนดี้ก็ทาน Keppra เป็นยาหลักอยู่ครับ ร่วมกับ Lamictal ครับ น้องชักตั้งแต่ 3 เดือน ตอนนี้ 1 ขวบกว่า ๆ ทานมาจะครบ 1 ปีแล้วครับ ขอสนับสนุนคุณป๊อปกับคุณแอนครับ พัฒนาการทุกอย่างที่แย่ลงไม่ใช่จากตัวยาครับ เกิดจากการชักที่ยังคุมไม่อยู่ครับ ส่วนเรื่องผลข้างเคียงของยา เท่าที่รับฟังจากคุณหมอมา ของแต่ละคนไม่เหมือนกันน่ะครับ บางคนอาจง่วงซึม บางคนอาจ active ขึ้นมา แต่อย่างนึงที่คุณหมอบอกคือ Keppra เป็นยาที่ดีและมีผลข้างเคียงน้อย ส่วนพฤติกรรมของน้องแซนดี้ช่วงแรก ๆ จะดูเหมือนง่วงซึม หลับตลอด ๆ แต่หลัง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปช่วงนี้ตอนกลางวันแทบไม่นอนเลยครับ จะไปนอนอีกทีก็ค่ำ ๆ ไปแล้วครับ ยังไงเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2011 เวลา 20:45 น.
 ;D  ;D
ทุกคน ค่อนข้างยืนยันว่า ไม่น่าจะใช่ยา  และต่ายเองก็ คิดว่าอย่างนั้นด้วย เพราะจากตัวเอง

เมื่อก่อนชัก ต่ายเรียน อยู่ห้องคิง พอชักแล้ว ทายยา อยู่ช่วงแรก( ตอนนั้นยังชักไม่มาก)  การเรียนต่ำลง เพราะ ความง่วงมากกว่า

แต่ยังเรียนรู้เรื่อง ช่วงนั้นสมอง ยังไม่ช้ามากเท่าไหร่

แต่ขอลาออกดีกว่า ไปถ่วง มาตรฐาน ห้องคิง

หลังจากนั้น ชักมาเรื่อยๆ หนักเข้า บ่อยเข้า ยิ่งรู้เลยว่า สมองไม่ค่อยรับรู้  การทรงตัว ก็ไม่ดี เดินก็ช้า (บางทีถึงกับเดินไม่ได้)ทำอะไรก็ไม่มั่นใจ ตาก็เหม่อ มือไม้ก็ช้า

บางทีถึงกับ มืออ่อนเขียนหนังสือไม่ได้ก็มี

(ยังเคยถามเรื่องนี้ กับ อาจารย์หมอเลยค่ะว่าที่เขียนหนังสือไม่ได้เกี่ยวกับ ช่วงนี้เปลี่ยนยาหรือเปล่า)  หมอบอกไม่เกี่ยว

ยิ่งหากมีชักแบบ GTC หรือลมบ้าหมู สมองก็ไม่รับรู้ ไปหลายเดือน

แต่พอคุมชักได้แล้ว (ก็ปัจจุบันนะค่ะ) ยายังมากเหมือนเดิม แทบไม่ชักเลย  ก็กลับมาทำงานได้ ปกติ  คนทั่วไปไม่รู้ และมองไม่ออกด้วย ว่าเป็นลมชัก (แม่บอก เดินเร็วปรี๊ดดดดดดด  ;D )

ต่ายถึงว่า ไม่น่าเกี่ยวกับยาลมชัก เกี่ยวกับ การชัก ที่ยังคุมไม่ได้มากกว่า

ส่วนชักแล้ว ทำลายเนื้อสมองมั้ย ต่ายว่ามีส่วน เพราะ ตัวเอง ไอคิว น่าจะลดลง แต่ การทำงาน มันไม่ต้องใช้ไอคิว แต่ใช้ประสบการณ์แทนนะค่ะ

เหมือนคุณ แอนแม่น้องหลิงหลิง นะค่ะ ต่ายว่า ลมชักทำลายสมองทุกอย่าง

แต่ขอให้ คุณพ่อคุณแม่ อยากให้ ลมชัก มาทำลาย กำลังใจละกัน เพราะบางครั้งปาฐิหารย์มีจริง
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: แกมแม่เนย ที่ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2011 เวลา 00:52 น.
ชอบอ่านบทความของคุณต่ายมากค่ะ เห็นภาพชัดเจนดี มีกำลังใจมากขึ้นด้วย กด Like ให้ยังไงดีเนี่ย  ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2011 เวลา 10:04 น.
     สงสัยต้องให้คุณป๊อบทำปุ่ม like ให้ซะแล้ว พี่ก็เห็นด้วยนะคะ ว่าผลมาจากการชัก ทุกครั้งที่ชักเด็กเล็กจะยิ่งเห็นได้ชัดเจนกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงไปนานเลย บางคนเป็นเดือนทีเดียว แล้วค่อยๆดีขึ้นถ้าไม่มีการชักอีก แต่มีปัญหาตรงที่การชักบางครั้งไม่ได้แสดงอาการออกมามีคลื่นชักแต่ไม่ชักออกมาให้เห็น คุณพ่อคุณแม่ก็คิดว่าลูกไม่ชักแล้วทำไมกล้ามเนื้อก็ยังคงอ่อนแรงอยู่อย่างนั้น ถ้ายังมีลักษณะอ่อนปวกเปียกหลายเดือนทั้งที่ไม่ชักก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ายังมีคลื่นชักออกมาอยู่ ยังคุมได้ไม่ดีพอให้เด็กพัฒนาการต่อได้ ลองสังเกตุดูถ้าเดินเซ เป๋ จากยาลักษณะไม่เหมือนกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการชัก

     ลมชักทำลายสมองนี่เรื่องจริงอยู่แล้ว มิ้นท์เคยชักกระหน่ำแบบไม่น่ารอดมาได้ คิดอยู่ว่าถึงรอดมาคงไม่สมประกอบแต่ไม่เป็นอย่างที่คิด หลังจากดีขึ้นก็สามารถฟื้นฟูทุกส่วนจนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ที่สำคัญอย่าท้อซะก่อน อดทนและพยายามเข้าไว้ค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2011 เวลา 11:02 น.
     ลองสังเกตุดูถ้าเดินเซ เป๋ จากยาลักษณะไม่เหมือนกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการชัก

     
.

ใช่ๆค่ะ ตรงนี้ต่ายเห็นด้วย
ถ้าจากยา เป็นลักษณะง่วง สมองยังทำงานได้ตามปกติ อาจจะช้าบ้าง (เหมือนเวลาเรานอนไม่พอ) แต่กล้ามเนื้อยังมีแรง (แต่มันง่วง)
แต่จากชัก สมองจะไม่รับรู้ ตาลอย เนื้อตัวไม่มีแรง ขนาดต่ายเอง โตแล้ว  คอยังเอียงเลยค่ะ ช่วงชักมากๆ นั่งไหน คอพับที่นั่น
สมองไม่อยากรับรู้ อยากจะพัก

ตาปรอย (เพราะง่วง)  กับตาลอย เพราะ เหนื่อยจากการชัก ต่างกันนะค่ะ( เพื่อนสนิทมันบอก  ;D )
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Jen ที่ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2011 เวลา 12:43 น.
Like ......
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2011 เวลา 22:10 น.
ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ
หายไปนานหน่อย เพราะพอดีช่วงนี้ลูกคนเล็กค่อนข้างกวน คือตื่นกลางคืนบ่อยมาก เพิ่งจะได้มีโอกาสเข้ามาอ่านความคิดเห็นต่างๆค่ะ

ส่วนตัวก็เริ่มเห็นด้วยนะคะว่ากล้ามเนื่ออ่อนแรงลงน่าจะเกิดจากการชัก เมื่อก่อนก็สงสัยอยู่เหมือนกันแต่พอปรึกษาหมอแล้วไม่เห็นคุณหมอพูดแบบนี้ ตอนแรกหน่องสงสัยว่าเกิดจากยาที่เค้าทานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือเปล่า แต่หมอบอกไม่น่าใช่ แต่ก็ไม่ได้พูดต่อว่าการชักทำให้กล้ามเนื้อเค้าอ่อนแอลง แต่พอนึกย้อนกลับไปก็คิดว่ามันน่าจะใช่แน่ๆ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็พยายามคิดหาวิธีป้องกันสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เค้าชักให้ดีที่สุด คิดว่าน่าจะดีกว่าหวังพึ่งยาเพียงอย่างเดียว เพราะที่ผ่านมาชัดๆเลยที่ทำให้ไตตั้นชักก็คือ วิ่งเหนื่อยกับไข้ ไอ้วิ่งเหนื่อยนี่คุมได้ไม่ยาก แต่ไข้นี่สิ เพราะมันมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยอ่ะค่ะ คือมาตอนดึกๆเทียงคืนมั่ง ตีสี่มั่ง ตอนหัวค่ำยังหัวเราะร่าเริ่ง ไม่มีวี่แววอยู่เลย ตอนนี้หลังจากปรึกษากับคนรอบข้าง เลยคิดว่าจะยังไม่ให้ลูกเข้าอนุบาล 1 เพราะก่อนหน้านี้ไปเข้า nursery แล้วป่วยจนไม่รู้จะป่วยยังไง และทุกครั้งก็คืออาการชักตามมา เริ่มมีความคิดว่าจะให้เรียนแบบ homeschool ที่บ้านอ่ะค่ะ แต่ยังไม่ได้ศึกษาค้นคว้าเลย ไม่ทราบว่ามีท่านใดพอจะแนะนำมั๊ยคะ ความจริงก่อนหน้านี้ก็เคยคิดไว้แล้ว แต่อยากให้ลูกไปโรงเรียนเพื่อจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตกับคนอื่น ได้สังคม และลูกก็ชอบอยากไปโรงเรียนด้วย แต่ลองดูแล้วมันไม่คุ้มกับที่เค้าต้องชัก เพราะตอนนี้ยังคุมอาการชักจากไข้ไม่ได้เลยค่ะ ถ้า พ.ค. นี้ไปโรงเรียน รู้สึกว่า 90% ต้องไม่สบายและเป็นไข้อีกแน่เลย ตอนนี้มันหลอนอยู่เลยค่ะ เวลาเห็นลูกชัก

update อาการของไตตั้นล่าสุดหลังจากที่ทาน keppra (ตอนนี้ทาน dpk อยู่ด้วย แต่คุณหมอจะค่อยๆลดและเพิ่ม keppra เข้ามาแทนค่ะ) รู้สึกว่าจะนอนยากขึ้น ทั้งตอนนอนกลางวัน และกลางคืน เค้าจะกระสับกระส่ายไปมา ไม่ยอมนอน ถามด้วยว่า ทำไมไตตั้นต้องนอนด้วย แต่ตอนตื่นมีตาลอยๆอยู่บ้าง เช่นตอนทานข้าว รู้สึกว่าทำตาปรือๆ แต่ก็ไม่ตลอดเวลาค่ะ เวลาเล่น หรือพาไปเทียวข้างนอกก็ดูร่าเริงปกติดี สำหรับเรื่องอารมณ์ก็ดูแย่ๆ คือฉุนเฉียวง่าย ขัดใจไม่ค่อยได้ มีกรี๊ดๆอยู่บ้าง แต่อันนี้ดูยากว่าเป็นผลจากยาหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ก็เป็นอยู่บ้าง เป็นช่วงๆ  และไม่ทราบว่าถ้าเป็น side effect จากยา ปกติมันจะใช้เวลาเท่าไร เพราะนี่ทานไปเกือบอาทิตย์แล้ว อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เรื่องขาก็ชัดเจน ถ้าเทียบกับก่อนชัก คือเดินดูไม่ค่อยมั่นคง และก้าวขึ้นบันไดหรือ step ไม่ค่อยไหว
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: แกมแม่เนย ที่ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2011 เวลา 22:53 น.
อ้างถึง
Like ......

คุณเจน เอาง่ายๆ แบบนี้เลย ... แต่เข้าท่าค่ะ  ;D ;D ;D

Like......
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2011 เวลา 08:40 น.
เลยคิดว่าจะยังไม่ให้ลูกเข้าอนุบาล 1 เพราะก่อนหน้านี้ไปเข้า nursery แล้วป่วยจนไม่รู้จะป่วยยังไง และทุกครั้งก็คืออาการชักตามมา เริ่มมีความคิดว่าจะให้เรียนแบบ homeschool

ต่ายเอง ลูกพัฒนาการช้า แรกๆ อยากให้ลูกเรียนช้ากว่าคนอื่น (คือเข้า อนุบาล ช้า ไปอีก 1 นึงก็ได้)

แต่พอไป รร. ทุกที่เลย  กลับไม่ยอม เขาตอบว่า ต้องให้เข้าเรียนตามเกณฑ์

แม้กระทั่ง วรรณสว่างจิตต์ (เนื่องจาก อ. 1 เต็มหมดแล้ว) ต่ายขอร้องเลย เขาก็ไม่รับ เพราะว่า เขาบอกว่าต้องเรียนตามเกณฑ์

แต่เข้าใจนะคะ ว่า ความรู้สึกคนเป็นแม่ ลูกคุมชักยังไม่ได้ ไปรร. จะทำอย่างไร  เรื่องนี้ต้องปรึกษาคุณพ่อแม่ท่านอื่นๆ ดู

ลองปรึกษาเวปที่ต่ายลิงให้ไปดูค่ะ คุณหมอท่านจะตอบให้ยังไง ถามหลายๆที่ดู ก็ดี http://www.childrenhospital.go.th/webboard/index.php?board=2.0
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Jen ที่ วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2011 เวลา 10:55 น.
คุณต่าย ลูกผมเรียนที่ วรรณสว่างจิต เหมือนกัน ผมเห็นมีเด็กบางคนเหมือนกันนะที่อายุมากกว่าเกณฑ์แล้วมาเรียนต่ำกว่า
เนื่องจากพัฒนาการไม่ทันเกณฑ์ ซึ่งผมว่าสาเหตุหลักของการแบ่งแยกเด็กตามอายุ เนื่องจากต้องการให้เด็กในห้องมีพัฒนาการใกล้กัน
ดังนั้นก็ต้องถามเหตุผลครูว่าทำไมต้องเรียนตามเกณฑ์ ถ้าเป็นแบบที่ผมว่า ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเข้าเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ ยกเว้นที่เต็มแล้ว

เด็กที่เรียนบ้านเด็กเล็กแล้วขึ้นอ.1 ต่อค่อนข้างเยอะ เค้ารับเพิ่มจนครบ 4 ห้อง เดือนก่อนผมก็ไปถามเพราะจะมีเพื่อนอยากเอาลูกเข้า อ.1
ครูก็บอกไม่อยากรับเกินจำนวน เพราะห้องนึงมีครูแค่ 2 คน พอเต็มแล้วเค้าเลยไม่ยอมรับเพิ่ม

ก่อนเข้าที่โรงเรียน มีการสัมภาษณ์ก่อน ครูก็คุยกับพ่อแม่ก่อน ซึ่งผมก็บอกครูไปว่าลูกผมเป็นโรคลมชักแต่ไม่มีปัญหาเรื่องพัฒนาการ
เค้าก็รับนะ แล้วพอเข้าไปก็ไปครูประจำชั้นก็อ่านประวัติเด็กแล้วก็มาสอบถาม เราก็บอกวิธีการไป ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไปชักที่โรงเรียนให้ครู
ต้องตกใจ พอดีนี้จะเปลี่ยนครู เดี๋ยวต้องไปย้ำกับครูประจำชั้นคนใหม่
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2011 เวลา 11:24 น.
คุณต่าย ลูกผมเรียนที่ วรรณสว่างจิต เหมือนกัน ผมเห็นมีเด็กบางคนเหมือนกันนะที่อายุมากกว่าเกณฑ์แล้วมาเรียนต่ำกว่า
เนื่องจากพัฒนาการไม่ทันเกณฑ์ ซึ่งผมว่าสาเหตุหลักของการแบ่งแยกเด็กตามอายุ เนื่องจากต้องการให้เด็กในห้องมีพัฒนาการใกล้กัน
ดังนั้นก็ต้องถามเหตุผลครูว่าทำไมต้องเรียนตามเกณฑ์ ถ้าเป็นแบบที่ผมว่า ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเข้าเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ ยกเว้นที่เต็มแล้ว

เด็กที่เรียนบ้านเด็กเล็กแล้วขึ้นอ.1 ต่อค่อนข้างเยอะ เค้ารับเพิ่มจนครบ 4 ห้อง เดือนก่อนผมก็ไปถามเพราะจะมีเพื่อนอยากเอาลูกเข้า อ.1
ครูก็บอกไม่อยากรับเกินจำนวน เพราะห้องนึงมีครูแค่ 2 คน พอเต็มแล้วเค้าเลยไม่ยอมรับเพิ่ม

ก่อนเข้าที่โรงเรียน มีการสัมภาษณ์ก่อน ครูก็คุยกับพ่อแม่ก่อน ซึ่งผมก็บอกครูไปว่าลูกผมเป็นโรคลมชักแต่ไม่มีปัญหาเรื่องพัฒนาการ
เค้าก็รับนะ แล้วพอเข้าไปก็ไปครูประจำชั้นก็อ่านประวัติเด็กแล้วก็มาสอบถาม เราก็บอกวิธีการไป ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไปชักที่โรงเรียนให้ครู
ต้องตกใจ พอดีนี้จะเปลี่ยนครู เดี๋ยวต้องไปย้ำกับครูประจำชั้นคนใหม่

ตอนต่ายไป หมอเค้าสงสัย (แค่สงสัยนะ ยังไม่ใจนะค่ะ)  รร. เค้ามีนโยบาย ไม่รับเด็กพิเศษ เพิ่ม  (รับ 1 ห้องต่อ 1 คน)

เพื่อนเลยบอกให้มั่วเข้าไปเลย ให้แจ้งว่าเป็นเด็กธรรมดา แค่พัฒนาการช้าเท่านั้น

ครูที่นั่นยืนยันว่า ไม่ยอม เพราะเด็กพัฒนาการช้า ควรที่จะส่งเสริมพัฒนาการตามวัยเดียวกัน คือ อ.1   (คือให้กรอกใบสมัครทิ้งไว้นะค่ะ)

(คือ ที่เต็มแล้วนะค่ะ)

เลยตัดสินใจกับแฟนว่า เข้า รร. แนววิชาการไป เพราะ ไม่มีประโยชน์ที่จะรอ รอ รอ โดยไม่มีคำตอบ

แต่ตอนนี้ เลยไม่แน่ใจว่าลูกเป็นเด็กพิเศษ หรือ แค่พัฒนาการช้า หรือเป็น ออ หรือ เป็นสมาธิสั้น  เป็นอะไร หมอพัฒนาการเองก็ยังไม่แน่ใจนะคะ

ส่วน รร. ปัจจุบันเป็นแนววิชาการ  เรียนค่อนข้างเร็วมาก  ลูกเลยมีปัญหาแค่ เขียนตัวหนังสือยังไม่ได้ (ได้แค่ โยง กับ วงกลม)  นอกนั้น ...ครู ยังจับผิดไม่ได้ นะค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2011 เวลา 12:46 น.
ความจริงก็สมัคร อ.1 ไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่คิดว่าถ้าเค้ายังคุมชักจากไข้ไม่ได้ ก็ยังไม่อยากให้ไป เพราะถ้าไป รร ก็ต้องไม่สบายกลับมา พันเปอร์เซนต์ จากประสบการณ์ที่ให้เริ่มไป nursery ไม่ถึง 5 เดิอน ชักเพราะไข้มา 3 ครั้งแล้ว คือเค้ากินยาฆ่าเชื้อจนค่อนข้างดิ้อยาแล้วอ่ะค่ะ จึงอยากจะทิ้งช่วงซักหน่อย เพราะยาตัวใหม่ที่ให้ถามคุณหมอ ก็บอกว่าถ้ามีไข้แล้วชักก็ต้องเพิ่มยาอีก เหมือนต้อง test ไปเรื่อยๆ สำหรับ Homeschool คิดว่าคงต้องปรึกษากับทาง รร. ที่สมัครเรียนไว้แล้วด้วย ว่าถ้าเราหยุดไปซัเกเทอมแต่สอนเองตามหลักสูตรของ รร.ประมาณนี้ สามารถไปเข้าเรียนต่อแบบไม่ต้องไปเริ่มใหม่ได้มั๊ย (เค้าจะยอมรึเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ) คงต้องหาข้อมูลแล้วตัดสินใจอีกที

เมื่อวานเข้าไปขอประวัติกับผล EEG ที่ศิริราช ตั้งใจจะนำไปพบคุณหมอมนตรี แต่เซ็งมาก ต้องไปรอเหมือนตรวจปกติ แถมหมอบอกว่าเอาผลไปไว้ที่พญาไทแล้ว ต้องไปเอาที่นั่น ความจริงปกติหา OPD ที่พญาไท 3 ค่ะ แต่เคยมาทำ EEG ที่ศิริราช (คราวที่แล้วตอนถามที่พญาไท หมอบอกลืมเอามาใส่แฟ้ม เลยนึกว่าผลยังอยู่ที่ศิริราชค่ะ) เพราะทำที่พญาไทแล้วไม่สำเร็จ ประสบการณ์แย่มากค่ะ ถ้าใครคิดจะไปทำ EEG ที่พญาไทขอบอกว่าอย่าเลย เพราะแย่มาก ตอนนั้นนัดเองให้เข้าไปบ่าย 2 (กะว่าใกล้ๆเวลานอนกลางวันของเค้า) พอไปถึงต้องรอแฟ้มประวัติเกือบ 20 นาที่ แล้วก็ค่อยป้อนยาให้หลับ เราก็กล่อมลูกจนใกล้ๆหลับ พอเดินไปบอกพยาบาลว่าน้องจะหลับแล้ว เค้าก็ค่อยโทรไป (ไหนไม่รู้) รอจนน้องหลับไปแล้ว ยังไม่ได้ไปไหนต่อ เรายังอุ้มลูกอยู่ตรง OPD นั่นเลยค่ะ ทีนี้ก็ไปโวยวายสิคะ เพราะกลัวว่าลูกจะตื่นก่อน เค้าก็พาเราขึ้นไปข้างบน หน้าตาเหมือนห้องคนไข้ในที่เพิ่งออกไปแล้วยังไม่มีใครมาจัดห้อง+ห้องเก็บของ เครื่องมืออะไรก็ไม่เห็น หมอนยังไม่มีเลย มีแต่เตียง รออีกหลายนาที ก็ไม่มีวี่แววใครจะมา เหมือนโดนพามาทิ้งไว้ อารมณ์ตอนนั้นเดือดแล้ว เพราะลูกหลับไป 40 นาทีแล้ว ก็ไปโวยวายกับพยาบาลที่ Counter พยาบาลทำหน้าไม่รู้เรื่อง ว่าจะมีการตรวจ EEG อะไรกันด้วย (แย่มากเลย) พอโทรติดต่อไปไหนไม่รู้ ซักพักก็เดินมาบอกว่าเมื่อกี้เครื่องไม่ว่าง กำลังจะเข็นมา โอ้โห ฟังแล้ว จะบ้าตาย ก็เค้าเป็นคนนัดเราเอง แล้วมาบอกว่าเครื่องไม่ว่าง สักพักเข็นเครื่องมา คนติดเครื่องมือก็ดูเก้ๆกังๆ ติดได้ไม่ทันครึ่งหัวเลย ไตตั้นก็ตื่น ดึงสายออก จบกัน วันนั้นเสียเวลาไปตั้งแต่ บ่ายครึ่งจนถึงสี่โมงกว่า ไม่ได้อะไร แถมลูกต้องมากินยานอนหลับฟรีๆ  ............เรื่องนี้ผ่านมาเกินครึ่งปีแล้ว แต่ยังโกรธไม่หาย และเข็ดจนตายเลยค่ะ คิดว่าถ้าหมอนัดทำ MRI หรืออะไรเฉพาะทางจะไม่มาทำที่นี่เด็ดๆ ..............สุดท้ายก็คือมาทำที่ศิริราช ครึ่ง ชม.เสร็จ แต่เสียอย่างคือ ตอนไตตั้นตื่น เค้าหัวทิ่มเลย เดินไม่ได้ จนทุ่มแล้ว ยังเซอยู่เลย ไม่รู้ว่ายาแรงไปหรือเปล่า

วันนี้อากาศเลวร้ายไม่เป็นใจ อยู่ๆก็หนาวขึ้นมา + ฝนพรำๆตลอด เลยไม่อยากพาลูกออกไปข้างนอก ก็เลยยังไม่ได้เข้าไปพบหมอมนตรีค่ะ

หลังจากทาน Keppra มา 1 week แล้ว  side effect เรื่องอารมณ์ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ อาจมีเกรี้ยวกราดเพิ่มบ้างแต่ก็ไม่ชัดเจน เมื่อวานถามหมอ บอกว่าถ้าจะเป็นก็จะเกิดในช่วงแรกๆ 1-3 สัปดาห์ นี่แหล่ะค่ะ
สำหรับเรื่องขาเค้าก็ดูแข็งแรงขึ้นหน่อยนะคะ ไม่ล้มบ่อยมากแล้ว ดูดีกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คิดว่าถ้าไม่ชักซ้ำในเร็วๆนี้ก็คงค่อยๆดีขึ้น

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: kesureepa ที่ วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2011 เวลา 13:45 น.
 

           สวัสดีค่ะคุณหน่อง,คุณต่าย

           ไม่รู้ว่าบ้านคุณหน่อง,คุณต่ายอยู่แถวไหน แอนได้ยินว่ารร.จิตเมท อยู่แถวพุทธมณฑลดีมากเลย ลูกน้องสาวแอน

            เรียนอยู่แต่รับไม่เยอะ ดูแลเด็กดีมากค่ะ เป็นแนวบูรณาการค่ะ

                                                                                                        แอน
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2011 เวลา 21:26 น.
 

           สวัสดีค่ะคุณหน่อง,คุณต่าย

           ไม่รู้ว่าบ้านคุณหน่อง,คุณต่ายอยู่แถวไหน แอนได้ยินว่ารร.จิตเมท อยู่แถวพุทธมณฑลดีมากเลย ลูกน้องสาวแอน

            เรียนอยู่แต่รับไม่เยอะ ดูแลเด็กดีมากค่ะ เป็นแนวบูรณาการค่ะ

                                                                                                        แอน

ต่ายอยู่ พระราม 2 ค่ะ  ใกล้รร . วรรณสว่างจิตค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: kedy ที่ วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2011 เวลา 11:28 น.
สวัสดีค่ะคุณหน่อง และเพื่อนๆทุกคนค่ะ เข้ามาอ่านอยู่บ่อยๆนะค่ะ แนะนำตัวกับคุณหน่องก่อน

ชื่อเกดค่ะ ลูกสาวก็เป็นลมชักแบบ GTC ค่ะ ตอนนี้อายุ 2 ขวบจะ 3 เดือนแล้วค่ะ เริ่มเป็นตอน 1 ขวบ ชักแบบไม่มีไข้และชักซ้ำตอน 1.6 ขวบค่ะ ตอนนี้ทาน ฟีโนบาท ตัวเดียวค่ะ หาหมอที่ศิริราชเหมือนลูกชายคุณเจนค่ะ น้องไตตั้นยังหาอ.สรวิศหรือเปล่าค่ะ หรือเปลี่ยนหมอแล้ว ลูกสาวตรวจทั้ง CT, EEG, MRI ไม่เจอสิ่งผิดปกติค่ะ หมอบอกน่าจะชักเอง จากคลื่นในสมองมันช๊อต ตอนนี้ยังคุมอยู่ แต่ไม่รู้มันจะมาอีกเมื่อไหร่ เง้อ ก็ต้องระวังทั้งไข้ ทั้งเรื่องเหนื่อยมาก และนอนดึก พอมาอ่านเรื่องน้องไตตั้นจะไปรร.ก็เข้าใจคุณหน่องมากเพราะเกดก็ว่าจะพาลูกเข้ารร.ตอน 3 ขวบครึ่ง ปีหน้าแล้ว แต่ก็กลัวว่าไปรร.จะเป็นไข้และมีอาการ มันห้ามไม่ได้อ่ะน่ะ เลยตอนนี้สอนกันเองที่บ้านก่อน ปูพื้นฐานไปเรื่อยๆ น้องให้ความร่วมมือดีค่ะ ถ้าคุณหน่องไม่สบายใจลองสอนน้องที่บ้านก่อนมั๊ยค่ะ แล้วไปสมัครเรียนที่ไหนเอ่ย แพลนจะเข้าพค.นี้ใช่ป่าวค่ะ ยังไงเป็นกำลังใจให้นะค่ะ มีอะไรคุยกันได้ค่ะ เพื่อนๆน่ารักทุกคนเลย

ตอนลูกสาวไปทำ EEG ที่ศิริราช น่าสงสารมากเลย กว่าจะหลับได้ เพราะเค้าให้ออกมารอหน้าประตู เด๊ยวน้องร้องดังรบกวนห้องอื่น อุ้มกระแตงๆเดินไปเดินมา ร้อนก็ร้อน ยาคงแรงอ่ะค่ะ เอิร์นๆไปตื่นที่บ้านกันเลยที่เดียววว



ถึงคุณต่าย ที่บอกว่าให้เด็กเรียนตามเกณฑ์เนี้ย คือเข้าอ.1 ต้อง 3 ขวบขึ้นไปหรือเปล่าค่ะ แล้วลูกคุณต่ายเรียนที่ไหน เป็นแนววิชาการเลยหรือค่ะ ไม่ลองไปแนวบูรณาการที่อื่นอีกอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Jen ที่ วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2011 เวลา 18:32 น.
อ้างถึง
ต่ายอยู่ พระราม 2 ค่ะ  ใกล้รร . วรรณสว่างจิตค่ะ

อยู่ใกล้ๆ กันเลยคุณต่าย ผมอยู่ในซอยท่าข้าม 7
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2011 เวลา 23:41 น.
 

           สวัสดีค่ะคุณหน่อง,คุณต่าย

           ไม่รู้ว่าบ้านคุณหน่อง,คุณต่ายอยู่แถวไหน แอนได้ยินว่ารร.จิตเมท อยู่แถวพุทธมณฑลดีมากเลย ลูกน้องสาวแอน

            เรียนอยู่แต่รับไม่เยอะ ดูแลเด็กดีมากค่ะ เป็นแนวบูรณาการค่ะ

                                                                                                        แอน

บ้านที่กรุงเทพฯอยู่แถวปิ่นเกล้าค่ะ แต่จริงๆส่วนใหญ่อยู่สุราษฎร์ แต่ก็ไปๆมาๆกรุงเทพฯ สองสามเดือนครั้ง มาธุระแล้วก็เยี่ยมพ่อกะแม่ด้วย ลูกเพื่อนๆหน่องหลายคนก็เรียนอยู่ที่จิตตเมตต์เหมือนกัน เห็นรูปหรือกิจกรรมของลูกเพื่อนใน FB แล้วน่าเรียนมากเลยค่ะ ความจริงเมื่อก่อนก็เคยคิดให้ไตตั้นเรียนที่นี่ แต่พอมีลูกคนเล็กตามมาก็เลยต้องรอไปก่อน เพราะดูคนเดียวสองคนไม่ไหว (หมายถึงพ่อต้องแยกไปอยู่สุราษฎร์แล้วเราดูลูกคนเดียว)


คุณเกด หน่องยังไม่ได้พาน้องไปหาหมอท่านอื่นเลย จริงๆ plan ว่าจะไปพบคุณหมอมนตรี ที่รพ.กรุงเทพเหมือนกัน แต่พอดีเมื่อวานฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฝนตกพรำๆทั้งวันเลยไม่อยากพาลูกออกไปค่ะ กลัวโดนละอองฝน ส่วนวันนี้หมอก็ไม่เข้า คงต้องเลื่อนเป็นอาทิตย์หน้าไปเลย ที่ว่าอยากจะย้ายเพราะที่ผ่านมารู้สึกไม่ค่อยสะดวกในการติดต่อคุณหมอ อย่างตอนไตตั้นมีอาการขึ้นมาตอนอยู่สุราษฎร์ โทรไปที่พญาไทก็ต้องคุยผ่านพยาบาล เพราะหมอออก OPD แค่วันเสาร์วันเดียว เวลาจะ plan เดินทางขึ้นมาก็ไม่ค่อยสะดวก เพราะต้องเลือกให้ตรงกับวันเสาร์ ประมาณนี้ ส่วนถ้าไปหาคลินิกพิเศษนอกเวลาที่ศิริราชก็รอค่อนข้างนาน แล้วค่าใช้จ่ายก็ไม่ค่อยต่างกับเอกชน เพราะหน่องใช้สิทธิเบิกอะไรไม่ได้ ก็เคยถามหมอแล้วว่าจะโทรไปที่ศิริราชได้มั๊ยเวลาน้องมีอาการ คุณหมอก็บอกให้โทรมาที่พญาไทสะดวกกว่า เห็นว่าถ้าเป็นที่ รพ. กรุงเทพ คุณหมอออกตรวจเกือบทุกวัน น่าจะอุ่นใจกว่าค่ะเวลามีอะไร

ส่วนโรงเรียนที่สมัครไว้ให้ไตตั้น ชื่อโรงเรียนอุ่นรักสองภาษา ที่สุราษฎร์ค่ะ ที่เลือกโรงเรียนนี้ เพราะเทียบกับที่อื่นแล้วดูแลเด็กค่อนข้างใกล้ชิด คืออัตราครูต่อเด็กค่อนข้างดี (เมื่อเทียบกับที่อื่น) อย่าง nursery ที่ให้ไปเรียน ห้องนึงก็มีครู 3 คน เด็กไม่ถึง 20 ส่วนอนุบาลก็เห็นว่านักเรียนประมาณ 30 ครู 2 ท่าน อะไรก็โอเคหมดค่ะ แต่ติดตรงที่กันลูกไม่ให้ป่วยไม่ได้ ไปส่งทีไรเห็นเด็กน้ำมูกยืดแล้วอยากจะพากลับบ้าน คิดในใจว่ามันน่าจะมีโรงเรียนที่แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกตินะคะ หรือถ้าป่วยก็ให้กลับบ้านอย่ามาเรียนรวมกัน    เคยได้ยินว่าที่อเมริกาถ้ามีเด็กป่วย ครูให้พ่อแม่พากลับบ้านเลย (ไม่รู้จริงป่าว ถ้าบ้านเรามีงั้นจริงๆก็ดี ดีมากๆเลยแหล่ะ) ก่อนหน้านี้ก็สอนๆเองบ้างค่ะ แต่ไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไร เพราะไม่อยากเร่งรัดลูกเกินไป อยากให้เค้าได้เล่นมากกว่ามาเรียนพวกวิชาการ แรกๆไม่ได้รู้สึกว่าเค้ามีปัญหาเรื่องพัฒนาการอะไร เพราะชักไม่ได้บ่อยมาก ที่สังเกตชัดหน่อยก็เรื่องขาที่ดูไม่ค่อยมีแรง เมื่อเทียบกับเด็กปกติอื่นๆ คุณย่าหรือญาติผู้ใหญ่ก็เคยทักอยู่เหมือนกันว่าน้องดูขาไม่แข็งแรง หน่องก็ไม่เคยนึกเลยว่าน่าจะเป็นผลจากการชัก เพราะไปกังวลเรื่องสมอง ความจำ พวกนี้มากกว่า ซึ่งก็คิดว่าเค้าดูปกติ ไม่มีปัญหาอะไร แต่จากการชักระยะหลังที่ถี่ขึ้น ประมาณ  3ครั้งใน 4-5 เดือน เริ่มเห็นชัดเรื่องกล้ามเนื้อขา ทำให้กังวล  และกังวลไปถึงสมองด้วยว่าน่าจะกระทบ แลยเริ่มหาข้อมูลจนเข้ามาเจอ web นี้ล่ะค่ะ

มีเรื่องอยากปรึกษาเพื่อนๆพี่ๆเหมือนกัน ถึงเรื่องพัฒนาการของลูกว่าปกติมั๊ย ต้องกระตุ้นพัฒนาการด้านไหนหรือเปล่า

คือตอนนี้ไตตั้นอายุ 3 ปี 4 เดือน
พูดเป็นประโยคได้ เล่าเรื่องราวได้ นับเลข 1-10 ได้ ถึง 100 บางทีก็ได้ แต่ต้องคอยบอกบางตัว เช่น 39 แล้วกลายเป็น 30 เราก็ต้องบอกว่า 40
ท่อง ก-ฮ ได้ A-Z ได้
แต่เรื่องเขียนนี่ยังไม่ค่อยได้ เนื่องจากไม่เคยฝึกให้ลูก บางทีเค้าก็จะเขียนเองตัวง่ายๆ เป็นเลข 0 1 หรือ ก
รู้จักธงชาติหลายประเทศ เพราะชอบธงชาติมาก
คือเรื่องสมองหรือความจำนี่ไม่ค่อยผิดสังเกต แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเด็กในวัยเดียวกันเค้าทำได้มากกว่านี้หรือเปล่า

แต่เรื่องการพูดนี่ บางทีจะพูดติดๆอยู่บ้าง เช่นต้องมีการ Start ซ้ำๆๆก่อนจะหลุดประโยคออกมา ซึ่งอันนี้เคยสังเกตอยู่ครั้งหนีงตอนเค้าชักเมื่อประมาณ 2 ขวบ ว่าหลังชักใหม่ๆ วันสองวันแรก จะพูดคล้ายๆติดอ่าง แต่พอซักพักก็กลับเป็นปกติ ตอนนั้นเลยไม่ค่อยกังวลใจอะไร

ส่วนเรื่องความแข็งแรงของขานี่ค่อนข้างเห็นชัดเมื่อเทียบกับเด็กปกติอื่นๆ คือ เดินดูไม่ค่อยมั่นคง หกล้มบ่อย (โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกๆหลังชัก) ก้าวขั้นบันได หรือ Step ไม่ค่อยไหว ต้องเกาะ กระโดด2 ขาพอได้ แต่ไม่ค่อยขึ้น ปีนป่ายไม่ค่อยได้  อ้อ! เมื่อสิ้นปีทีผ่านมาก็หกล้มฟันหน้ากระแทกพื้น รากฟันหัก ต้องถอนฟันหน้า 2 ซี่ ตอนนี้หลอเรียบร้อยแล้ว ช่วงนั้นเศร้าสุดๆ สงสารลูกมาก ตอนนี้พอมานึกย้อนกลับไป น่าจะเกิดจากที่เค้ามีอาการชักเมื่อ 20 พ.ย. ทำให้ขาอ่อนแรง หลังจากนั้น 1 เดือนก็เกิดอุบัติเหตุล้มฟันกระแทกพี้น

ประมาณนี้ค่ะ ไม่แน่ใจว่าควรจะกระตุ้นพัฒนาการด้านไหนให้เค้าหรือเปล่า เช่น เรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือการพูด  แล้วต้องทำยังไงบ้างคะ

ส่วนอีกเรื่องที่ยังสนใจอยู่คือ Homeschool หากใครมีข้อมูลหรือประสบการณ์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ 
 
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2011 เวลา 08:17 น.
อ้างถึง
ต่ายอยู่ พระราม 2 ค่ะ  ใกล้รร . วรรณสว่างจิตค่ะ

อยู่ใกล้ๆ กันเลยคุณต่าย ผมอยู่ในซอยท่าข้าม 7

บ้านต่ายเข้าเลยเข้ามาในซอย เทียนทะเล 26 ค่ะ  มีเพื่อนใกล้บ้านกันด้วย อาจจะเคยเดินสวนกันแบบไม่รู้จัก 555
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2011 เวลา 08:25 น.
คือเข้าอ.1 ต้อง 3 ขวบขึ้นไปหรือเปล่าค่ะ แล้วลูกคุณต่ายเรียนที่ไหน เป็นแนววิชาการเลยหรือค่ะ ไม่ลองไปแนวบูรณาการที่อื่นอีกอ่ะค่ะ

อยากไปแนวบูรณาการ ตั้งแต่ลูกเกิดแล้วค่ะ แต่ตอนนั้น ต่ายโทรไปวรรณสว่างจิต(เนื่องจากใกล้บ้านด้วย) ถามราคาก่อนที่จะเข้าไปดู

ฟังผิด เอาค่าเทอมทั้ง ปี คูณ 3 เทอม  ..ปาไป 180,000 บาท (ไม่รวมค่ารถ)  เลยถอยดีกว่า ไม่กล้าเหยียบเลย

เพราะว่า คนรู้จักคนนึง เข้าเคยส่งลูกเรียน เค้าคุยว่า ตัวเองส่งลูกเป็นแสนๆ มาแทบทุกโรงเรียนแล้ว


เวลาผ่านไป เลยไป มอง รร. กรพิทักษ์ แนววิชาการสุดๆ เลย ตอนส่งไม่คิดว่า เรียนเร็วมากด้วย คงเรียนๆ เล่นๆ


ต้องส่งที่นี่ เพราะว่า ดูแล้วคุ้มกว่า รร. ใกล้บ้าน ที่อื่นอีกเยอะนะค่ะ ดู รร. มีระเบียบ และสื่อการเรียนพร้อมกว่าในราคาเดียวกันนะค่ะ

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2011 เวลา 08:46 น.
เคยได้ยินว่าที่อเมริกาถ้ามีเด็กป่วย ครูให้พ่อแม่พากลับบ้านเลย (ไม่รู้จริงป่าว ถ้าบ้านเรามีงั้นจริงๆก็ดี ดีมากๆเลยแหล่ะ) มีเรื่องอยากปรึกษาเพื่อนๆพี่ๆเหมือนกัน ถึงเรื่องพัฒนาการของลูกว่าปกติมั๊ย ต้องกระตุ้นพัฒนาการด้านไหนหรือเปล่า

คือตอนนี้ไตตั้นอายุ 3 ปี 4 เดือน
พูดเป็นประโยคได้ เล่าเรื่องราวได้ นับเลข 1-10 ได้ ถึง 100 บางทีก็ได้ แต่ต้องคอยบอกบางตัว เช่น 39 แล้วกลายเป็น 30 เราก็ต้องบอกว่า 40
ท่อง ก-ฮ ได้ A-Z ได้
แต่เรื่องเขียนนี่ยังไม่ค่อยได้ เนื่องจากไม่เคยฝึกให้ลูก บางทีเค้าก็จะเขียนเองตัวง่ายๆ เป็นเลข 0 1 หรือ ก
รู้จักธงชาติหลายประเทศ เพราะชอบธงชาติมาก
คือเรื่องสมองหรือความจำนี่ไม่ค่อยผิดสังเกต แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเด็กในวัยเดียวกันเค้าทำได้มากกว่านี้หรือเปล่า


อันนี้จริงค่ะ จากเวปนี้  http://www.childrenhospital.go.th/webboard/index.php?board=2.0

หมอชอบเหน็บการศึกษาไทยบ่อยๆ ว่า ล้าหลัง และพูดถึงว่า ถ้าเป็นอเมริกา น้ำมูกไหลนิดเดียว ก็ไล่กลับบ้านแล้ว และแม่มีสิทธิ์ขอลางานด้วยเพื่อเลี้ยงลูก

เด็กไทยถึงป่วยบ่อย ไม่ค่อยโต

เรื่องเขียนนะคะ  เพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กไม่แข็งแรง  แรกๆ ต่ายไม่รู้ว่าจะฝึกยังไง จนมาเจอ si

ให้ลูกจิ้ม สีน้ำ(แบบอัดแข็งก็ได้) แล้ว ระบาย โดยใช้นิ้วลากนะค่ะ (ใช้ทั้ง นิ้ว โป้ง ชี้ กลาง)

ต่ายทำอยู่ 2 วัน ลูก ลากตามเส้นประได้เลย ก่อนหน้านี้ ทำได้แค่ ลากเส้นโยง กับวงกลม

(และเคยฝึกลูกจากการคลิกเม้าด้วยนะค่ะ ก็พอช่วยได้ แต่ได้แค่นิ้วชี้ แต่ไม่แนะนำ เพราะลูก แย่งเล่นคอมไปเลย  ;D )

แต่ยังทำได้ไม่ดีมากนัก เพราะเพิ่งฝึก วันที่ 1 มีนานี้เอง

เรื่องความจำนะค่ะ ต่ายว่า อย่าเพิ่งกังวลมาก เพราะว่า ลูกต่าย ได้ประมาณช่วงอายุนั้น (ช้าหรือเร็วต่ายไม่รู้)

ซึ่ง กลายเป็นว่า เขาเขียนไม่ได้ แต่จำได้ และ ท่อง A-Z ได้ก่อนพูด และจำสี เป็นภาษาอังกฤษได้ก่อน พูดภาษาไทย 

สอนให้พูดไทย แต่ไม่ยอมพูด พอพูดภาษาอังกฤษดันพูดตาม

เด็กแต่ละคน ไม่เหมือนกัน  ถามหมอเวปโน้นก็ได้  http://www.childrenhospital.go.th/webboard/index.php?board=2.0

บางเรื่อง ลูกต่ายก็ได้มากกว่าเขา หลายเรื่องก็อยู่ในเกณฑ์พัฒนาช้าไปเลย
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: jelly ที่ วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2011 เวลา 08:50 น.
อ้างถึง
ต่ายอยู่ พระราม 2 ค่ะ  ใกล้รร . วรรณสว่างจิตค่ะ

อยู่ใกล้ๆ กันเลยคุณต่าย ผมอยู่ในซอยท่าข้าม 7

บ้านต่ายเข้าเลยเข้ามาในซอย เทียนทะเล 26 ค่ะ  มีเพื่อนใกล้บ้านกันด้วย อาจจะเคยเดินสวนกันแบบไม่รู้จัก 555

บ้านผมอยู่แสมดำครับ เมื่อก่อนก็เข้าไปเรียน speech ในซอยแถวบ้านคุณเจน ข้างหลัง big c อะครับ  ;D ;D ;D

เรื่องเขียน เยลลี่ 3.7 ขวบครับ ขึ้น อ.1 ที่เด่นหล้าครับ ยังเขียนหนังสือไม่ได้ ไม่ยอมจับดินสอ ยังพูดประโยคยาวไม่ได้ เรียกว่ายังพูดสู้หลานผมอายุ 3 ขวบไม่ได้เลย
นับเลขได้แค่1-10 มีมั่วบ้าง  อ่านแล้วน้องไตตั้น เก่งกว่าเยลลี่เยอะครับ  :D :D :D

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2011 เวลา 10:12 น.
นับเลขได้แค่1-10 มีมั่วบ้าง 


ลองทำอันนี้ดูเล่นไหมคะ สนุกดีด้วย ตาราง 100 ช่อง ของพ่อธีร์ (ย่อรูปไม่เป็นนะค่ะ)แทบไม่ต้องสอนเลย เด็กสนใจเอง แล้วก็ถามว่า อ่านว่าอะไร แป๊ปเดียวจำได้ถึง 100
นับถอยหลัง จาก 100 -1
แถมด้วย จำเลขคู่ (2/ 4 /6 /8 จนถึง 100 )บวก 1 บวก 2 ในใจ(  บวก 3 4 5 ) ต่ายไม่ได้สอนเพราะไม่มีเวลา
และยังสอนได้อีกหลายเรื่องด้วย แบบ ไม่ได้อ่านจากตำรา เหมือนของเล่นมากกว่านะค่ะ
(http://image.ohozaa.com/i/136/sp_a1824.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=a754c369c260960368338745bb9a3bba)

ฝึกสมาธิไปในตัวด้วย  ห้องเรียนเคลื่อนที่ (ลูกนอนไม่หลับก็ยังมีอะไรเล่น  ;D )
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2011 เวลา 22:30 น.
ขอบคุณคุณต่ายค่ะ ที่มักมีคำแนะนำดีๆมาให้ จะลองไปทำตามค่ะ




เรื่องความจำนะค่ะ ต่ายว่า อย่าเพิ่งกังวลมาก เพราะว่า ลูกต่าย ได้ประมาณช่วงอายุนั้น (ช้าหรือเร็วต่ายไม่รู้)

ซึ่ง กลายเป็นว่า เขาเขียนไม่ได้ แต่จำได้ และ ท่อง A-Z ได้ก่อนพูด และจำสี เป็นภาษาอังกฤษได้ก่อน พูดภาษาไทย 

สอนให้พูดไทย แต่ไม่ยอมพูด พอพูดภาษาอังกฤษดันพูดตาม

เด็กแต่ละคน ไม่เหมือนกัน  ถามหมอเวปโน้นก็ได้  http://www.childrenhospital.go.th/webboard/index.php?board=2.0

บางเรื่อง ลูกต่ายก็ได้มากกว่าเขา หลายเรื่องก็อยู่ในเกณฑ์พัฒนาช้าไปเลย

หงั่งงี้แปลว่า ช่วงเล็กๆยังบอกไม่ค่อยได้หรือคะว่าเค้ามีพัฒนาการเหมือนเด็กปกติหรือเปล่า หมายถึง ที่เราเห็นเค้าจำได้ ท่องได้ แต่พอไปเข้าเรียนกับเพื่อนๆอาจจะพัฒนาการช้ากว่าปกติก็ได้ เป็นกังวลซะแล้วสิคะ

แล้วไม่ทราบว่าถ้าไปตามศูนย์หรือโรงเรียนที่เค้ามีคุณครูกระตุ้นพัฒนาการ เค้าสอนอะไรบ้างคะ เท่าที่เคยคุยกับคุณเจน เห็นว่ามีโรงเรียนรุ่งอรุณ ว่าจะลองไปดูเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: แกมแม่เนย ที่ วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2011 เวลา 00:48 น.
น้องเนย 3.1 ขวบ พูดยังไม่เป็นประโยค นับ 1-10 ได้ทั้งไทยและอังกฤษ (มีมั่วบ้าง), ก-ซ, ป, ผ, ม, ย, ฮ, กระโดดไม่ได้ จับดินสอลากเส้นไปมาได้, วิ่งไม่ค่อยได้ ขาไม่แข็งแรงเท่าไรค่ะ, เดินขึ้นบันไดเองได้นิดเดียว กำลังหัดให้บ้างค่ะ ส่วนใหญ่ต้องจับราวหรือจับมือคนอื่นถึงจะขึ้นได้, ยังไม่รู้จักสีและรูปทรงค่ะ

คิดเรื่องไป รร. เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้ไปซักทีเพราะชอบตื่นกลางดึกตีสองตีสามทำให้นอนตื่นสาย ทานข้าวยาก ไป รร.ไม่ทันแน่ค่ะ  :D



@ คุณต่ายคะ กระดาน 100 ช่อง เคยเห็นมีขายเป็นของญี่ปุ่นราคาเป็นพันเลย มีแบบชุดเล็กและชุดใหญ่ ดูไปดูมาเหมือนเล่น Bingo เลยใช่ป่าวคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2011 เวลา 08:52 น.
@ คุณต่ายคะ กระดาน 100 ช่อง  เคยเห็นมีขายเป็นของญี่ปุ่นราคาเป็นพันเลย
ที่เห็นในรูป ต่ายทำเองค่ะ

หมดไปราวๆ 700บาทมั้ง ไม่เกิน 800 บาท
ไม่ต้องซื้อ ทำเองได้ (ทำเองจะได้มีตัวสำรองเผื่อหายได้ด้วย) เวลาลูกปาพังจะได้ มีสำรอง  ;D  ;D
เลือกสีได้ด้วย
เลือกขนาดก็ได้

ต่ายลองทำเล่นดู ตอนนั้นว่าง และคิดว่า ถ้าลูกเป็นเด็กพิเศษจริงไม่น่าจะทำได้ ไม่น่าจะบวกเลขได้ (และอาจจะไม่น่าจะสนใจด้วย)

(ตอนนั้น ช่วงเดือน ตุลา ช่วงที่เจอเวปนี้)  

พอลูกทำได้ ต่าย จับย้าย รร. เลย

เพราะคิดว่าเขาน่าจะเรียนรู้เรื่อง (ทำให้ใจนึง คิดว่า เขาไม่น่าจะออทิสติก)

พอไปวรรณสว่างจิตก็เต็มไปแล้ว

(ก่อนเล่นตารางนี้ ขอบอกว่า ลูกต่าย ดูเหมือนไม่รู้เรื่อง บวกกับพัฒนาการช้า)

เหมือนกับว่า พัฒนาการด้านร่างกายเขาช้า แต่สมองเขารับ

เพราะ รร. ที่ไปเข้า เรียนเร็วมากๆ  ตอนนี้ ก่อนที่ปิดเทอมลูกต่ายท่องสูตรคูณแล้ว (แต่ยังท่องมั่ว และต่ายก็ไม่เน้นให้) ไปเน้นทางฝึกพัฒนาการทางร่างกายดีกว่า

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2011 เวลา 09:15 น.
หงั่งงี้แปลว่า ช่วงเล็กๆยังบอกไม่ค่อยได้หรือคะว่าเค้ามีพัฒนาการเหมือนเด็กปกติหรือเปล่า หมายถึง ที่เราเห็นเค้าจำได้ ท่องได้ แต่พอไปเข้าเรียนกับเพื่อนๆอาจจะพัฒนาการช้ากว่าปกติก็ได้ เป็นกังวลซะแล้วสิคะ


ถ้าหมอพัฒนาการเค้าจะบอกได้ คือกี่ขวบทำอะไร ควรทำอะไรได้แล้วบ้าง (หมายถึงพัฒนาการทางร่างกาย)

หรือการเอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่นทั่วไป ก็เครียด (แต่ก็ต้องยอมรับด้วย)  โดยรวมแล้ว ลูกต่ายช้ากว่าไปเป็นปี  :'(

ขออนุญาตว่าให้ความเห็นว่า การศึกษาเมืองไทย เน้นการท่องจำ

อย่าเพิ่งกังวลมากไปค่ะ ถ้าไม่แน่ใจเอาไปตรวจพัฒนาการก็ได้นะค่ะ น่าจะสบายใจค่ะ

 

หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2011 เวลา 23:25 น.
Update อาการไตตั้น หลังจากปรับลด dpk และเพิ่ม Keppra มาได้เกือบ 3 สัปดาห์ (อีก 2 วันก็ครบ 3 สัปดาห์พอดี)
ตอนนี้ทาน dpk 1.5 ml เช้า เย็น (ลดจากเดิม 2.5) และ keppra 1.5 ml เช้า เย็น

อากการเรื่องขาอ่อนแรง เริ่มดีขึ้น ไม่ค่อยหกล้มเท่าไรแล้ว คงเป็นเพราะพ้นช่วงหลังขักมาได้สักระยะ (ครั้งล่าสุดที่ชัก 4/3/54)
วันนี้ให้โยงเส้น ระบายสี ก็สามารถทำได้ดี

แต่ที่ดูแย่คือเรื่องอารมณ์ จากที่คุณหมอบอกไว้แต่แรกว่า ทาน keppra แล้วอาจมี side effect เรื่องอารมณ์ จะทำให้อารมณ์แปรปรวน ฉุนเฉียวง่าย
ก็ลองสังเกตมาเรื่อยๆ แรกๆก็ไม่ค่อยแน่ใจ เนื่องจากเดิมทีที่ทาน dpk อยู่ ไตตั้นก็ค่อนข้างอารมณ์แปรปรวนง่าย หงุดหงิดง่าย มีกรี๊ดๆบ้างเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่หากพูดด้วยดีๆ ใช้ไม้อ่อน เค้าก็ค่อนข้างรับฟัง (แต่ถ้าไม้แข็งนี่ ไม่ได้เลย เหตุการณ์จะไปกันใหญ่ แล้วก็จะต่อต้านมากขึ้นๆ)

แต่หลายวันมานี่ รู้สึกว่าจะอารมณ์ร้ายมากขึ้น ถึงขั้นตีและถึบพ่อ มีอะไรขัดใจนิดเดียวก็จะปรี๊ดขึ้น มีอาการลงไปดิ้นและกรี๊ดๆมากขึ้น ส่วนตัวคิดและแน่ใจว่ายาน่าจะมีส่วน เพราะไม่เคยมีอาการมากขนาดนี้ แต่เมื่อเค้าสงบ ก็กลับมาร่าเริง คุยเล่นได้ ก็ค่อยๆอธิบายให้ฟังว่าทำแบบนั้นไม่ดีนะครับ ให้ไปขอโทษคุณพ่อ ก็ยอมรับฟังและทำตามโดยดี ตอนที่ออกฤทธิ์ลักษณะเหมือนควบคุมอารมณ์โกรธ  ฉุนเฉียว ไม่ได้ อารมณ์ขึ้น ลง เร็ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ช่วงนี้เป็นทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น โดยเฉพาะช่วงค่ำๆ ก่อนอาบน้ำ (จะอาบน้ำก็ต้องรบกัน กว่าจะยอมอาบได้) ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับระดับยาหรือเปล่า เพราะหลังจากทานยาซักประมาณ  2ทุ่ม พอช่วง 3 ทุ่มก็มีเรื่องให้ต้องลงไปกรี๊ดๆ หลายวันแล้ว

และหากเป็นที่ side effect ของยา อยากทราบว่าอารมณ์เค้าจะเป็นแบบนี้ไปตลอดหรือเปล่า หรือจะค่อยๆดีขึ้น เมื่อปรับยาได้ ควรต้องพาไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กด้วยหรือเปล่าคะ เพราะไม่แน่ใจว่าควรรับมือกับอารมณ์ของลูกยังไงดี ทุกวันนี้ก็คือใช้วิธีใจเย็น เพิกเฉย ไม่สนใจ เมื่อเค้าอาละวาด และเมื่อสงบก็พยายาม พูด อธิบายด้วยเหตุผล ไม้นวมสุดฤทธิ์
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเค้าจะยิ่งได้ใจ คล้ายๆเห็นว่ามีคนเอาใจ หรือเปล่า



หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2011 เวลา 07:46 น.
ถ้าต่ายมีการเพิ่มยา ต่ายจะง่วงมาขึ้นมากกว่า  แต่อารมณ์ฉุนเฉียว ของต่ายเกิดจากสิ่งรอบข้างมากกว่า

แต่สำหรับเด็กๆ ต่ายไม่ทราบนะค่ะ  น่าจะ สังเกตุว่า เขากรี๊ดเวลาเดียวกันหรือเปล่า (แต่ต้องกินยาตรงเวลา)


ลูกต่ายเอง  ไม่ได้กินยา ยังอารมณ์เอาแต่ใจเลย เพราะเป็นลูกคนเดียว หลานคนแรก

 ;D  เห็นม้าาาาาาาาาาา   ขาแข็งแรงขึ้นแล้ว  เย้ๆๆๆๆๆ ดีใจด้วยค่ะ ;D
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันศุกร์ที่ 08 เมษายน 2011 เวลา 22:48 น.
เสาร์ที่ผ่านมา พาไตตั้นไปพบคุณหมอตามนัด หลังจากปรับลด dpk จาก 2 ml เช้า +2.5 ml เย็น ตอนนี้เหลือ 1 ml เช้า เย็น และ keppra 1.5 ml.
ก็ update เรื่องอาการทั่วไปให้คุณหมอทราบ คือ รู้สึกว่าเค้าดูกระฉับกระเฉงขึ้น และขาก็ดูแข็งแรงขึ้นกว่าช่วงเดือนที่แล้ว ไม่ค่อยหกล้มแล้ว และเรื่องอารมณ์ที่ดูฉุนเฉียวขึ้น (ช่วงนี้ก็ยังกรี๊ดๆอยู่ เวลาไม่ได้ดั่งใจ) ซึ่งน่าจะเป็น Side effect ของ keppra คุณหมอฟังแล้วเห็นว่าอาการยังพอรับได้ จึงให้ทานต่อไป ถามว่าถ้ามีอาการชักเกิดขึ้นอีก ทำอย่างไร คุณหมอก็ plan ให้เพิ่มปริมาณยา keppra โดยเพิ่มเป็น step 0.5 ml ทีละมื้อ (เริ่มจากมื้อเย็น)

เช่น ตอนนี้ ทาน 1.5 ml  เช้า 1.5 ml เย็น
ก็เพิ่มเป็น  1.5 ml เช้า 2 ml เย็น
หากชักอีก ก็เป็น 2 ml เช้า 2 ml เย็น
เต็มที่ ที่ 2.5 ml เช้า 2.5 ml. เย็น หรือหากพฤติกรรมเปลี่ยนในระดับที่รับไม่ได้ เช่น ก้าวร้าว ทำร้ายร่างกาย เป็นต้น
(ตอนนี้ไตตั้นหนัก 14.7 kg)

ซึ่งหากถึงขั้นนั้นก็คงพิจารณาเปลี่ยนยา หรือให้กลับมากิน dpk ควบคู่อีกครั้ง

ฟังๆดูก็ต้อง Trial กันต่อไปจนกว่าจะเจอสูตรที่เหมาะสม (เฮ้อ!)

สำหรับเรื่อง side effect ปริมาณยาที่เพิ่มขึ้นจะไม่ relate กับ side effect ค่ะ (หมายถึงอาจจะก้าวร้าวมากขึ้น หรือไม่ก็ได้)

ได้ถามถึงเรื่องกล้ามเนื้อขาที่ก่อนหน้านี้ลูกดูเหมือนขาไม่มีแรง ว่าเกิดจากที่เค้าชักหรือเปล่า คุณหมอตอบว่าไม่เกี่ยว ถ้าอ่อนแรงเนื่องจากชักจะเป็นภายใน 24 ชม.หลังจากชัก
ส่วนคุณพ่อเค้าก็ตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งแต่ลดยา dpk เค้าก็ดูกระฉับกระเฉงขึ้น ขาก็ดูแข็งแรงขึ้น หกล้มน้อยลง จึงได้ถามคุณหมอไปว่าหรือจะเป็นเพราะลดยาลง คุณหมอก็ว่าอาจเป็นไปได้ คือฟังดูแล้วก็ไม่ได้ฟันธงชัดเจนว่าเป็นเพราะอะไรแน่ แต่ไม่ได้เกิดจากการชักแน่นอน (อันนี้ความเห็นหมอนะคะ) แต่เนื่องจากมันมีหลายปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมๆกัน คือ ก่อนหน้านี้ทั้งไม่สบาย เป็นหวัด เป็นไข้แล้วชัก พอชักก็เพิ่มยาด้วย ช่วงนั้นก็เลยเห็นชัดเลยว่าเดินล้มบ่อย มีบางครั้งตาปรือๆด้วย ถ้าเทียบกับตอนนี้นะคะเค้าแข็งแรงขึ้นเยอะเลย หายป่วยสนิทแล้วด้วย ก็เลยยังไม่แน่ใจนักว่าสาเหตุเกิดจากอะไร

ส่วนเรื่องพัฒนาการ ก็ได้ตั้งคำถามกับหมอว่าพอเค้าชัก จะทำให้พัฒนาการถดถอยหรือไม่ คุณหมอก็ว่าอาจจะหยุดแต่ไม่ถอย อะไรที่ทำได้แล้วก็ยังคงทำได้ต่อไป ชักแล้วพัฒนาการถดถอยจะเป็นการชักอีกกลุ่มนึงค่ะ

เรื่องที่ลืมถามมาก็คือ keppra ทานก่อนหรือหลังอาหาร หรือใกล้มื้ออาหาร มื้อนมได้มั๊ย ใครทราบช่วยตอบหน่อยค่ะ




หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2011 เวลา 15:21 น.
เมื่อวานได้พาลูกไปพบคุณหมอที่ รพ.กรุงเทพมาค่ะ นำผล EEG และประวัติไปด้วย ตอนแรกคุณหมอซักประวัติคร่าวๆแล้ว เห็นว่าเคยทาน dpk แล้วเพิ่ม dose จนเปลี่ยนมาเป็น keppra คุณหมอบอกว่าอนาคตน้องมีแนวโน้มจะดื้อยา ส่วนตอนนี้กำลังลด dpk (จนเหลือ 0) แล้วทาน keppra นั้นก็แล้วแต่ความเห็นของหมอแต่ละคน คือบางคนอาจให้กินควบคู่กันไปก่อน 2 ตัวก่อนที่จะตัดออกก็ได้ แต่พอคุยไปคุยมา จากประวัติการชักของไตตั้นตลอด 2 ปี ดังนี้

เริ่มชักตอน 1.2 ขวบ เป็นการชักแบบไม่มีไข้ กระตุกข้างซ้ายข้างเดียวนานประมาณ 15 นาที
ครั้งที่ 2-3 ชักเพราะมีไข้ (38.2 c) กระตุกทั้งตัว
ครั้งที่ 4-6 ชักขณะวิ่งเล่น เหนื่อย ไม่มีไข้
ครั้งที่ 7-10 (ตั้งแต่ พค.ปีที่แล้ว - ปัจจุบัน ช่วงเวลาประมาณ 1 ปี) ชักจากไข้ มีทั้งแบบ กระตุกข้างซ้ายข้างเดียว เกร็งอย่างเดียว(ไม่กระตุก) และครั้งล่าสุด กระตุกข้างขวาข้างเดียว ค่อนข้างแรง

คุณหมอดูภาพรวมแล้ว สรุปให้ว่าน้องน่าจะเป็นโรคลมชัก และอาจเป็น Febrile Convalsion ในบางช่วง
สำหรับผล EEG ที่เคยทำ เอาไปให้คุณหมอดู เห็นหมอว่าปกติ คลื่นที่อ่านมาว่าเป็นคลื่นชัก น่าจะเป็นคลื่นขณะหลับ (อ่านไม่เหมือนกันซะแล้ว)


อันนี้มาหาจาก Net ภายหลังนะคะ
ภาวะชักจากไข้สูงหรือ febrile seizure, febrile convulsion นั้นเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก อุบัติการพบประมาณ 2-5 % ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี แต่ในบางกลุ่มของประชากรมีรายงานสูงถึง 15 %

ข้อบ่งบอกในการวินิจฉัย มีดังนี้ :
1.โดยส่วนใหญ่จะเกิดร่วมกับภาวะไข้ที่มักสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
2. อายุมักน้อยกว่า 6 ปี(จากรายงานอ้างอิงพบอยู่ในช่วง ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 6 ปี
หรือแตกต่างกันไปเล็กน้อยแล้วแต่แหล่งที่มา)
3.การชักส่วนใหญ่เป็นแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว เท่า ๆ กันทั้งซ้ายขวา(generalized tonic clonic)
4.ไม่มีโรคติดเชื้อของระบบประสาทหรือสมองส่วนกลางร่วม
5.ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผันผวนของเกลือแร่และสารนำในร่างกาย
6.ไม่เคยมีประวัติในอดีต ว่าเด็กเคยมีภาวะชักโดยไม่มีไข้มาก่อน

การแบ่งกลุ่ม :

ในปัจจุบันเพื่อง่ายต่อความเข้าใจเราแบ่งภาวะชักจากไข้สูงออกเป็นสองสาเหตุหลักคือ
การชักจากไข้สูงที่ไม่ได้มีอันตราย(simple febrile seizure) ซึ่งจะชักตามหลังจากไข้สูง ชักไม่นานกว่า 15 นาที ไม่มีการชักแบบเฉพาะที่(focal seizure) เช่น ขาหรือแขนกระตุกข้างใดข้างหนึ่ง และเด็กมักหลับหรืออ่อนเพลียหลังจากมีอาการชัก(post ictal phase)โดยถ้ามีการชักซ้ำก็ไม่ควรติดต่อกันนานกว่า 30 นาที หรือไม่รู้สติเลยในระหว่างการชักซ้ำ ๆ นั้น
อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มชักจากไข้สูงที่มีอันตราย(complex febrile seizure)ในกลุ่มนี้มักชักนานกว่า 15 นาทีม อาจชักกระตุกเฉพาะที่ เช่น แขน ขาข้างใดข้างหนึ่ง มีแขนขาอ่อนแรงหลังจากชัก(post ictal paralysis) และถ้าชักซ้ำ ๆ อาจติดต่อกันนานกว่า 30 นาที ในกลุ่มนี้อาจเป็นโรคลมชัก๖หรือ เราชอบเรียกกันว่าลมบ้าหมู)ที่ซ้อนเร้นและถูกกระตุ้นจากภาวะไข้ โดยบางครั้งในกลุ่มนี้การชักมักไม่ค่อยสัมพันธ์กับความรุนแรงหรือสูงของไข้

สาเหตุการเกิดและพยาธิสภาพของการเกิด :
มักพบอยู่ในช่วง ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 6 ปี และเกิดบ่อยในช่วงอายุ 12-18 เดือน มักเกิดขณะที่ไข้ขึ้นสูงโดยที่สาเหตุของอาการไข้ที่เป็นสาเหตุ อาจมีสาเหตุมาจาก
1.การติดเชื้อทั่วไป เช่น การเป็นหวัดเจ็บคอ คอหรือหลอดลมอักเสบ ซึ่งสาเหตุเกิดได้ทั้งไวรัส(พบมากกว่า)และแบคทีเรีย โดยสาเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เป็นไวรัสไข้หวัด(influenza) หรือ parainfluenza (พบราว 16-20 %) , ไวรัส RSV(พบราว 4-5 %) โดยที่ไม่มีนัยสำคัญว่าไวรัสตัวไหนมีสัมพันธ์หรือเป็นสาเหตุกับภาวะชักจากไข้สูงชัดเจน แต่ก็มีรายงานว่าเกิดจากเชื้อตระกูลเริม(human herpes virus type 6) ได้สูงในกลุ่มที่เป็นชักแบบอันตรายและในกลุ่มที่ชักซ้ำ (complex and recurrence febrile seizure)
2.การฉีดวัคซีน มีรายงานว่ามีความสัมพันธ์กับการให้วัคซีนป้องกัน คอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ชนิด whole cell(DTP) และ วัคซีนป้องกัน หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม(MMR) มากกว่าชนิดอื่น มีการวิจัยศึกษาว่าโอกาสเกิดไข้สูงและชักจากไข้สูงสำหรับวัคซีนป้องกัน คอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ชนิด whole cell(DTP) ส่วนใหญ่มักเกิดในวันแรกที่ได้รับวัคซีน สำหรับ วัคซีนป้องกัน หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม(MMR) มักเกิดในช่วง 1-2 อาทิตย์หลังได้รับวัคซีน โดย มี relative risk เท่ากับ 5.7 และ 2.8 ตามลำดับ (5) แต่ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก ชนิดที่เป็น acelular (DTPa) ทำให้มีไข้น้อยลงหลังจากรับวัคซีนและโอกาสเกิดชักจากไข้สูงก็มีอุบัติการลดลงไปด้วยเมื่อใช้วัคซีนชนิดนี้



อาการและอาการแสดง :

อย่างแรกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าชัก ?
เป็นคำถามที่แพทย์มักถาม สิ่งสังเกตุคือ เด็กมีอาการเกร็ง กระตุก ทั้งตัวหรือบางส่วน ตาลอย เหลือกหรือกระตุกตามไปกับอาการชัก น้ำลายฟูมปาก(บางราย) ริมฝีปาก-ปลายมือปลายเท้าเขียว เรียกไม่รู้สึกตัว ปัสสาวะอุจจาระราด ชักราวกี่นาที ผู้ปกครองควรตั้งสติให้ดีและสังเกตุอาการเหล่านี้ไปพร้อมกับการช่วยเหลือเบื้องต้น บ่อยครั้งหากเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกผู้ปกครองมักตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก จำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเกดซำจะใจเย็นมีสติและให้การรักษาได้ดีกว่าหนแรกเสมอ ดังนั้นถ้ามีอาการชักควรนำเด็กมาตรวจที่ รพ. เสมอ เพราะบางครั้งการดูอาการอาจทำให้การชักแบบไม่มีอันตราย(simple febrile seizure) กลายเป็นชนิดที่ชักแบบมีอันตราย(complex febrile seizure) หรือชักรุนแรงแบบชักไม่หยุดซึ่งนานกว่า 30 นาทีหรือไม่รู้สติเลยในระหว่างการชักซ้ำ ๆ นั้น(status epilepticus) โดยส่วนใหญ่มักจะชักในวันแรกที่มีไข้ และไข้มักจะสูงอยู่ประมาณ 38?C หรือ 39?C สำหรับการชักรอบแรก ส่วนการชักซ้ำนั้นไข้ไม่จำเป็นที่จะต้องสูงมากนัก
การวินิจฉัยแยกโรค : ได้แก่
1. อาการหนาวจากไข้ (Shaking chills )ซึ่งไม่ใช่ภาวะชักจริง โดยจะไม่มีอาการดังต่อไปนี้ เช่น เด็กมีอาการเกร็ง กระตุก ทั้งตัวหรือบางส่วน ตาลอย เหลือกหรือกระตุกตามไปกับอาการชัก น้ำลายฟูมปาก(บางราย) เรียกไม่รู้สึกตัว ปัสสาวะอุจจาระราด สาเหตุของอาการหนาวจากไข้ (Shaking chills )เกิดจากภาวะที่อุณหภูมิกายสูงแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นจากากรเช็ดตัว หรือจากยาลดไข้ จับแล้วมักจะหยุดและเด็กจะรู้ตัวดี
2. การไม่สมดุลของเกลือแร่และสารน้ำในร่างกายโดยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพบความผิดปกติของสารน้ำและอิเล็กโตรไลต์ในผู้ป่วยไข้สูงแล้วชัก แต่ควรต้องนึกถึงในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการอาเจียน ท้องเสียและมีอาการขาดน้ำ กินอาหารไม่ได้ ก็อาจพบความผิดปกติของสารน้ำและอิเล็กโตรไลต์ได้ โดยพาะอย่างยิ่งภาวะเกลือแร่ชนิดโซเดียมต่ำหรือสูงก็ทำให้เกิดอาการชักได้เช่นกัน
3.ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมองอักเสบ มักนึกถึงในเด็กที่มีอาการไข้ร่วมกับอาการชัก พบว่า 40 % ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีอาการนำด้วยอาการชักโดยเฉพาะในเด็กเล็ก โดยที่ตรวจไม่พบอาการระคายเคืองของเยื้อหุ้มประสาท คอเกร็งแข็งเวลาตรวจ(meningeal irritation sign) จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์มักแนะนำให้เจาะตรวจน้ำไขสันหลังในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ? ปี ที่มาด้วยอาการไข้สูงและมีอาการชัก และมีข้อสังเกตว่าการไข้ร่วมกับชักซ้ำบ่อย ๆในครั้งเดียวหรือการเกิดภาวะไข้และอาการชักไม่หยุด(status epilepticus)มักเกิดจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่


อ้างอิงจาก 
http://ramathibodi.blogspot.com/2009/04/3-2-febrile-seizure-febrile-convulsion.html\

คุณหมอสรุปมาแบบนี้ แต่ไม่ได้ฟันธง 100% นะคะ คือเนื่องจากประวัติเคยมีทั้งชักแบบไม่มีไข้ด้วย ประมาณว่า ชักครั้งแรกๆก็น่าจะเป็นโรคลมชัก แต่ปีหลังนี่ อาจจะเป็น Febrile Convalsion ไม่ใช่ลมชัก (ไม่ใช่ epilepsy แต่ทำให้เกิดอาการชัก) และถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงก็ถือว่าไม่ค่อย serious มากเพราะจะหายได้เมื่ออายุ  6ขวบ

ถามถึงแนวทางการรักษา ก็คือรักษาโดยทานยาที่ทานอยู่นี่ไปก่อน แต่อาจจะไม่ต้องปรับยาบ่อยนัก คือไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ชักจะต้องปรับยา เพราะถ้าเป็น Febrile convalsion ปรับยาก็ไม่ได้ช่วย (อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า ค่อนข้างสับสนหน่อยๆค่ะ แต่ที่ผ่านมารักษากับคุณหมอท่านเดิม ก็ให้ปรับ dose ยาขึ้นทุกครั้ง) หากครั้งต่อไปมีไข้ ก็ให้ทาน dizepam 2 mg ทุก 6 ชม.(วันละ 4 หน) ถ้าง่วงมากก็ให้หยุดมื้อต่อไป โดยทานเฉพาะวันที่มีไข้
แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาลูกมีไข้ มักจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว ตอนกลางคืน แบบรู้ว่ามีไข้ก็ชักไปแล้ว และส่วนใหญ่พอมีไข้ไปแล้ว ก็จะไม่ค่อยมีอีก ก็ได้แจ้งคุณหมอไป หมอเลยบอกไม่มีไข้ก็ให้กินดักไว้ได้

คุณหมอนัดให้ทำ MRI และฉีดสี เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยก่อนฉีดสีต้องเจาะเลือดตรวจค่า ตับหรือไตเนี่ยแหล่ะค่ะ ว่าสามารถฉีดได้มั๊ย ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องฉีด
ส่วนเรื่อง EEG ยังไม่ต้องทำ ถ้ามีอาการครั้งต่อไปค่อยมาทำ โดยให้มาภายใน 2-3 วัน หรือภายใน 24 ชม.จึงจะดีที่สุด


หลังจากพบคุณหมอแล้ว กลับมาบ้านก็มีปัญหาสงสัยดังนี้ค่ะ
1.ถ้าเป็น Febrile convalsion คือชักจากไข้ ทานยากันชัก ก็ไม่ทำให้คุมชักได้ ใช่หรือไม่ ประมาณว่า เพราะไม่ใช่ชักโรคลมชัก
2.ถ้าเป็นไปตามที่คุณหมอสงสัย คือ ระยะแรกเป็นลมชัก (epilepsy) แต่หลังๆเป็นชักจากไข้ (Fabrile convalsion) แปลว่ายาที่ทานเพื่อคุมโรคลมชัก สามารถคุมได้แล้ว (เพราะหลังๆไม่มีว่าวิ่งเหนื่อยแล้วชัก หรือชักแบบไม่มีไข้ ) แต่ที่มามีอาการชัก เป็นเพราะจาก Febrile Convalsion ?? เพราะถ้าเป็นตามนี้แปลว่า น้องน่าจะมีโอกาสหายขาดได้เมื่ออายุเลย  6ขวบ (หรือเปล่า) แต่ถ้าไม่ใช่ตามสันนิษฐานนี้ คือ ชักจากโรคลมชัก (ซึ่งอาจมีความผิดปกติของสมอง) โตขึ้นอาจไม่หาย หรือต้องทานยาหลายตัวเพื่อคุมชักก็ได้

ยิ่งเขียนก็ยิ่งงงค่ะ


อีกเรื่องก็คือ ทางโรงพยาบาลประเมินค่าใช้จ่ายในการทำ MRI มาให้
ตอนแรกก่อนทราบค่าใช้จ่ายรวม ก็ว่าจะทำที่นี่เลย เพราะทราบมาว่าถ้าที่โรงพยาบาลรัฐต้องรอคิวนาน 4-5 เดือน แล้วค่าใช้จ่าย หมื่นกว่าบาท ไม่ต่างกันมาก
แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ รพ.แจ้งมาเมื่อวานนี้  40,000 -45,000 แน่ะค่ะ (ไม่ได้ admit)
แยกเป็น ค่าทำ MRI Brain 16,000 (ช่วงนี้ลด 25% ถึงสิ้นเดือน พ.ค.)
บวกค่าฉีดสี 6,000
เจาะเลือดดูค่าตับ ไต เพื่อพิจารณาว่าฉีดสีได้มั๊ย ประมาณ 4,000
ค่าอุปกรณ์ เครื่องมือ 9,000 บาท
ค่าดมยา 5,000-10,000 บาท
รวมแล้วก็ 40,000-45,000 บาท

ถามคุณเจนดูเห็นว่าทำที่ศิริราช รวมทั้งหมด admit ด้วย ประมาณ 14,000

ไม่ทราบว่ามีใครเคยทำ MRI ที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไรบ้างคะ





หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: jelly ที่ วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2011 เวลา 15:43 น.
ผมทำที่ รพกรุงเทพ mri ถ้าจำไม่ผิด 22000 ครับไม่ได้ฉีดสี ไม่ได้ให้ยานอนหลับ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2011 เวลา 16:12 น.
นั่นสิ จำได้ว่า MRI ที่ กรุงเทพ ประมาณ 16,000 - 22,000  ทำไมมีค่าโน่นนี่โผล่มาอีกตั้งแยะนี่
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2011 เวลา 16:43 น.
นั่นสิพี่น้อง คุณหมู
ตอนแรกก็นึกว่าหมื่นกว่า สองหมื่น ตอนคุยกะหมอก็เลยนัดวันทำไปแล้วด้วย
พอบ่ายพยาบาลโทรมาแจ้ง สี่หมื่นก็เลยมึนเลย สงสัยต้องไปทำที่อื่น

วันนี้ลองโทรไปพญาไท ได้ความมาดังนี้
ค่า MRI Brain ปกติ 10100 ช่วงนี้มีโปรโมชั่น เหลือ 4900 ถึงสิ้นเดือนเมษายน (แต่ต้องให้แพทย์ของพญาไทเป็นผู้สั่ง)
ค่าดมยา + อุปกรณ์ฯ 25,000-30,000 (แพงดีจัง  :o)
ค่าฉีดสี 3,000-6,000
ค่าตรวจเลือด (กรณีฉีดสี) ไม่ได้ถาม

ใช้เครื่อง ความถี่สนามแม่เหล็ก 1.5 (ไม่แน่ใจว่าที่ รพ.กรุงเทพ เครื่องแบบไหน)

รวมๆก็ สี่หมื่นกว่า ห้าหมื่นเหมือนกัน

คุณหมู น้องเยลลี่ไม่ต้องดมยาหรือคะ แล้วน้องนอนหลับนิ่งๆเองได้ด้วยหรือ เก่งจัง
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: jelly ที่ วันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2011 เวลา 13:52 น.
รอจนหลับครับ แล้วก็เรียกพยาบาลมารับไป ลุ้นมากครับกลัวตื่นกลางทาง เสียงดังมากด้วยในห้องอะ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2011 เวลา 12:32 น.
ไม่ทราบว่ามีใครเคยทำ MRI ที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไรบ้างคะ







เห็นราคาแล้วตกใจเลยอะ  :o  :o

เคยทำอยู่ประมาณ 10,000 บาท  แต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว

แต่พอมาที่จุฬา  ราวๆ 7-8 ปี ก่อน ก็ยังราคา10,000 บาท   
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Jen ที่ วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2011 เวลา 13:44 น.
ที่ศิริราชที่เพิ่งไปทำมาเมื่อเดือนมกราคม ค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 14,000 กว่าๆ
เป็นค่า MRI สักแปด-เก้าพัน + ค่าวางยานอนหลับ + Admit หนึ่งคืน แต่ว่ารอคิวนานไปหน่อย
แต่ถ้าเป็นเคสด่วน ๆ อันนี้หมอคงประเมินความจำเป็น แล้วลัดคิวให้มั้งครับ

สาเหตุที่ต้องดมยา (จริงๆ ไม่ได้ดมนะ เพราะเห็นเอายามาผสมฉีดเข้าไปในสายน้ำเกลือ) เพราะเด็กเล็กจะไม่ให้ความร่วมมือ ทีนี้
พอต้องดมยาก็เลยต้อง Admit เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย ให้เหมาะสม และแน่ใจว่าปลอดภัย รวมถึงดูอาการหลังจากฟื้นจากยา

อ้างถึง
ใช้เครื่อง ความถี่สนามแม่เหล็ก 1.5 (ไม่แน่ใจว่าที่ รพ.กรุงเทพ เครื่องแบบไหน)

เครื่อง MRI ที่รพ.กรุงเทพ ไม่รู้มีกี่เครื่องนะครับ แต่มีเครื่องที่มีความถี่คลื่นแม่เหล็ก 3 เทสลาอยู่ ซึ่งทันสมัยมากที่สุดตอนนี้
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2011 เวลา 22:22 น.
มา Update เรื่องราวของไตตั้นค่ะ

หลังจากสัปดาห์ก่อน พาไตตั้นไปพบคุณหมอที่พญาไทตามนัด ได้ถามถึงเรื่อง Febrile Convulsion ในความเห็นคุณหมอยืนยันค่อนข้างชัดว่า ไตตั้นเป็นโรคลมชักที่มีไข้เป็นุตัวกระตุ้น ไม่น่าจะใช่ Febrile เพราะจากประวัติเคยชักแบบไม่มีไข้มาก่อน คือถ้ามีประวัติชักโดยไม่มีไข้ แม้สักครั้งเดียวก็ไม่จัดเป็น Febrile คุณหมอว่างั้นค่ะ สำหรับกรณีว่าตอนแรกเป็น epilepsy แต่ในปีหลังเป็น Febrile มาแทรก คุณหมอว่าก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ คือ โอกาสเป็นแบบนั้นน้อย มีแต่ตอนแรกเป็น Febrile แล้วพัฒนาเป็น epilepsy มากกว่า

ถามถึงเรื่องที่เคยทำ EEG แล้วคุณหมอว่าพบคลื่นชัก ว่าเป็นคลื่นชักชัดเจนมั๊ย หรืออาจจะเป็นคลื่นขณะหลับ ซึ่งหน้าตาอาจจะคล้ายกัน คุณหมอก็ยืนยันว่าเป็นคลื่นชักค่อนข้างชัดเจนค่ะ ไม่ใช่คลื่นหลับ

แนวทางการรักษาตอนนี้ ก็ทาน Keppra ไปตัวเดียว แล้วค่อยปรับยาเมื่อมีอาการชักครั้งต่อๆไป จนกว่าปริมาณยาจะสูงสุดหรือเกิด side effect เกินที่จะรับได้ ค่ะ

แล้วก็เลยคุยกับคุณหมอเรื่องทำ MRI เพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าถ้ามีอาการชักครั้งถัดไป จะพิจารณาให้ทำ MRI หลังจากสอบถามราคามาหลายที่ ก็เลยตัดสินใจว่าจะทำที่ศิริราช คุณหมอก็เลยให้ไปจองคิว ก็ได้คิวมาเดือนสิงหาคม แต่ขอเลื่อนไปเป็นตุลาคม เพราะ Plan ว่าคงจะขึ้นไปกรุงเทพฯช่วงนั้นพอดีค่ะ ประเมินค่าใช้จ่ายมาก็อยู่ที่ 13000 บาท (admit 1 คืน ไม่ต้องฉีดสี)


สำหรับ side effect ด้านอารมณ์ก็ยังเป็นอยู่ แต่มีแนวโน้มดีขึ้น หมายถึงตัวพ่อ แม่เองด้วยที่เริ่มรับมือได้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะปรับตัวได้มากขึ้น เข้าใจเค้ามากขึ้น และพอดีได้อ่านหนังสือเรื่อง "เมื่อลูกท้าทายคุณ" ซึ่งมีเนื่อหาตรงกับพฤติกรรมลูก 80-90% เลยทีเดียว ความจริงมีหนังสืออยู่ที่บ้านนานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนลูกเกิดเสียอีก แถมมีหลายชุดด้วย คือเป็นมรดกตกทอดมาจากพี่สาว แถมยังเคยซื้อมาซ้ำเองด้วย เพราะไม่รู้ว่าที่บ้านมีอยู่แล้ว แต่เพิ่งได้เคยมาเปิดอ่านจริงจัง หนังสือพูดถึง พฤติกรรมเด็กแบบต่างๆ อธิบายเหตุและผลที่ทำให้เค้ามีพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ พร้อมยก case ประกอบ มีทั้งหมด 3 เล่ม ใครที่เจอปัญหาลูกเอาแต่ใจ อารมณ์แปรปรวน เคยลงไปดิ้นในห้างฯ แนะนำให้อ่านค่ะ


อ้อ ก่อนหน้านี้ ได้เคยพาไตตั้นไปพบจิตแพทย์เด็ก ก็เล่าอาการให้ฟัง คุณหมอบอกว่ามาจากพฤติกรรมตามวัย บวกกับ side effect จาก Keppra นี้ด้วยค่ะ ส่วนใหญ่เด็กเล็กกินแล้วจะอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย แต่หากเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะง่วงซึม ถามว่าถ้าอนาคตหยุดยาแล้วพฤติกรรมเหล่านี้ยังจะติดตัวไปหรือเปล่า คุณหมอบอกว่าก็มีทั้งเป็นอยู่มากขึ้น  น้อยลง หรืออาจจะหาย ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เราปฏิบัติต่อเค้าว่าถูกต้องหรือเปล่า เช่น ถ้าเค้าร้องกรี๊ดๆๆๆ ก็ควรจะเบี่ยงเบนความสนใจถ้าทำได้ หรือเพิกเฉยไปเลย และต้องทำให้เหมือนกันทั้งบ้าน เป็นต้น หากจะพูดคุยหรือสอนก็ต้องใช้น้ำเสียงปกติ ไม่ตามไปกับอารมณ์เค้า คือถ้าเราไปตอบสนองเค้าทั้งทางบวกหรือทางลบ จะยิ่งไปเสริมพฤติกรรมไม่ดีเหล่านั้น เพราะที่เค้ากรี๊ดๆ คือเค้าเรียกร้องความสนใจ หากเราตอบโต้ก็แปลว่าเค้าเรียกร้องได้สำเร็จ ประมาณนี้ค่ะ
และหากอนาคต เป็นมากขึ้น พ่อแม่คิดว่าไม่สามารถรับมือได้ คงต้องให้ทานยาปรับอารมณ์ คือทานแล้วก็จะทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆลง
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2011 เวลา 16:09 น.
วันเสาร์ที่ผ่านมา ลูกกลับมาชักอีกแล้วค่ะ ห่างจากครั้งที่แล้วเกือบ 4 เดือน ครั้งนี้กลุ้มใจมาก เพราะคิดว่าไม่มีสิ่งกระตุ้น อย่างเช่นไข้เหมือนครั้งที่ผ่านๆมา

เล่าย้อนไปคือ วันจันทร์ได้ให้ไปโรงเรียน  แต่พอวันพฤหัสเค้าก็เริ่มมีน้ำมูกใสๆ เลยให้ดื่มน้ำมากๆ และล้างจมูกบ่อยๆ ไม่ได้ให้ยาอะไร เพราะเคยเป็นและดูแลแบบนี้ก็หายหวัดเอง อาการก็ดีขึ้นนะคะ เช้าวันเสาร์น้ำมูกแห้ง แต่ยังมีเสียงขึ้นจมูกหน่อยๆ   ประมาณ 10 โมงเช้า กำลังนั่งขีดเขียนเล่นๆ อยู่ดีๆก็ค้าง แล้วก็เกร็ง กระตุกแบบทั้งตัว ประมาณ 3 นาทีได้ค่ะ พอหยุดชัก ลองวัดไข้ดูก็ไม่ถึง 37 แต่จับตัวดูเหมือนมีอาการตัวรุมๆนิดหน่อย ไม่แน่ใจเท่าไร แต่ก็รีบเช็ดตัวให้ แล้วก็ป้อนพาราตามค่ะ ลูกหลับไปได้ 2 ชั่วโมงกว่า พอตื่นมาตอนบ่าย ก็ร่าเริง ดูปกติดี ไม่มีไข้ตลอดทั้งวัน

โทรปรึกษาคุณหมอแล้ว คุณหมอให้เพิ่ม Keppra จาก 1.5 เป็น 2 ml เช้า เย็น และคิดว่าครั้งนี้ไม่มีตัวกระตุ้น ไม่น่าจะเป็นไข้ เพราะดูจากปรอทวัดไข้ และคิดว่าควรจะต้องทำ MRI (ไตตั้นยังไม่เคยทำค่ะ)

ครั้งนี้กลุ้มใจมาก เพราะจากประวัติการชัก ถ้าไม่นับครั้งแรก เค้าจะไม่เคยอยู่ดีๆแล้วชัก ช่วงแรกที่ทาน dpk และระดับยาต่ำก็จะชักจากเหนื่อยและไข้ แต่ปีหลังที่เพิ่ม dose ยาจนระดับยาค่อนข้างสูง ก็จะชักจากไข้ล้วนๆ  และเป็นเรื่องที่เคยกังวลตอนเปลี่ยนยาจาก dpk มาเป็น keppra เพราะดูจากประวัติเค้าแล้วมันเหมือนว่า dpk ช่วง dose ยาสูงๆน่าจะคุมชักได้บางส่วน แต่ยังคุมชักจากไข้ไม่ได้ พอเปลี่ยนยาแล้วหากเหนี่อย หรือไม่มีไข้อะไรก็อาจชักขึ้นมารึเปล่า ตอนนั้นก็ได้ถามคุณหมอไป แต่คุณหมอก็ยังยืนยันว่าควรให้ยาทีละตัว และ keppra ถ้าใช้ได้ผลก็ควรจะคุมชักได้ทั้งหมด  ...........แล้วก็เกิดขึ้นจนได้ค่ะ ครั้งนี้คิดว่าไม่มีอะไรมากระตุ้น เค้าก็ชัก มันทำให้ดูแลยากขึ้นไปอีก ช่วงแรกๆจะวิตกจริตมาก


MRI ที่จองคิวไว้ที่ศิริราชก็ประมาณเดือนตุลาคม ตอนนี้ก็ยังตัดสินใจอยู่ว่าจะรีบพาขึ้นไปทำที่เอกชนก่อนดีหรือไม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: kedy ที่ วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2011 เวลา 09:24 น.
อ่านแล้วเครียด  เพราะครั้งล่าสุดที่เอิร์นๆชัก ก็ไม่มีไข้ไรเลยค่ะ ไม่เหนื่อย ไม่ไรทั้งนั้น นอนหลับอยู่ ก็เลยต้องเพิ่มยา ตามสูตร

เกดว่าคุณหน่อง พาน้องไตตั้นมาตรวจ mri ที่รพ.เอกชนดีกว่ามั๊ยค่ะ อย่าปล่อยเวลาไปเลย รู้สาเหตุเร็ว จะได้รักษาเร็วนะค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 06 สิงหาคม 2011 เวลา 23:36 น.
Update เรื่องราวล่าสุดค่ะ

สรุปว่ากลางเดือนที่แล้วได้พาลูกขึ้นไปทำ MRI และ EEG ที่กรุงเทพค่ะ ฟังผลจากคุณหมอที่ศิริราชวิเคราะห์ให้ฟัง แจ้งว่าจากภาพ ) x-ray พบซีสต์ ที่คาดว่าจะเป็นถุงน้ำขนาดประมาณ 4 mm. บริเวณสมองด้านขวา (ดูจากภาพจะเห็นเป็นจุดขาวๆ อยู่บริเวณลึกเข้าไป ไม่ใช่บริเวณเนื้อสมอง) ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชัก
ส่วนผล EEG พบคลื่นชักทั้งทางขวาและซ้าย เป็น Sharp wave อยู่ทางขวาบริเวณตำแหน่ง F4 และซ้ายบริเวณ C3P3

ข้อความส่วนหนึ่งจาก Report นะคะ
"There are infrequent sharp waves over the right frontal (F4), left centro-parietal (C3P3) regions. There are also burst of rhythmic theta activities lasting few seconds over the left > right centro-parietal regions without clinical sign."

ลักษณะเป็นการชักประเภท Focal Epilepsy (การชักที่มีจุดกำเนิดชักเฉพาะที่ 1 หรือ 2 จุด) สำหรับคลื่นที่พบทั้ง 2 ฝั่ง อาจเป็นไปได้ว่า บริเวณนั้นมีเส้นประสาทที่เชื่อม ส่งกระแสไฟฟ้าไปทำให้เห็นคลื่นทั้ง 2 ข้าง

แนวทางการรักษา ก็ยังคงให้ยาคุมอาการ แต่หากยา 2 หรือ 3 ตัวแล้วยังคุมอาการไม่อยู่ อาจต้องพิจารณาไปถึงการผ่าตัดในอนาคต


จากนั้นสองสามวันต่อมา ก็ได้นำ EEG Graph และภาพ X-ray MRI Brain ไปพบคุณหมอโยธินค่ะ

หลังจากเล่าประวัติ ดูภาพ MRI และ EEG
MRI สรุปว่าไม่เห็นความผิดปกติที่เป็นภาพใหญ่ที่ เช่น มีก้อนเนื้องอก ไม่มีแผลเป็น เซลล์สมองก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
แต่จากทาง Clinical อาการชักน่าจะมาจากจุดใดจุดหนึ่งในสมอง มักเป็น Cell หรือ network ที่ผิดปกติเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งมองไม่เห็นจากการทำ MRI
เป็นอาการชักแบบจุด Focal Epilepsy จุดกำเนิดชักน่าจะอยู่บริเวณสมองด้านซ้าย

ส่วนถุงน้ำ (ซีสต์) ที่เห็นไม่อธิบายเรื่องชัก คือไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดการชัก เนื่องจากเล็กมากและอยู่ในบริเวณที่ไม่น่าจะทำให้ชักได้ โดยทั่วไปจุดผิดปกติที่ทำให้ชักจะอยู่บริเวณผิวของสมอง (รอบนอกๆ)

จาก EEG Graph
จุดกำเนิดชักน่าจะอยู่ที่สมองด้านซ้าย มาทางด้านหน้า (Frontal Lope) พบ Slow wave  และมี Sharp wave อยู่ในตำแหน่ง F7 และ F3

แนวทางการรักษา
1 ปรับยาดูก่อน
2 หากปรับยาตัวที่ 2 , 3 แล้วไม่สามารถคุมชักได้ ก็ต้องมาหาตำแหน่งของจุดกำเนิดชักที่ชัดเจนมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ละเอียดขึ้น เช่น Ictal SPECT หรือ PET Scan เพื่อมองไปถึงการผ่าตัด
ตอนนี้ก็คงให้ทาน Keppra ไปก่อน เนื่องจากเพิ่งเปลี่ยนมา โดยจากน้ำหนักตัว 15.5 Kg สามารถให้ได้ถึง 50-80 mg/kg/วัน  แต่หากยังไม่สามารถคุมชักได้ หรือมี Side effect ที่ไม่สามารถยอมรับได้ ก็คงต้องเลือกยาตัวใหม่ โดยคุณหมอเลือก Lamictal หรืออาจจะ Combine 2 ตัว คือ Depakine + Lamictal  โดยยา 2 ตัวนี้มักจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้ให้ใช้ Keppra ไปก่อน เพราะเร็วเกินไปที่จะเปลี่ยน แต่คุณหมอแนะนำให้ทาน วิตามิน B1 6 12 เสริม ซึ่งอาจจะช่วยลดพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ที่เป็นอยู่ได้ ให้ลองดูแต่โดยทั่วไปมักจะได้ผลในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมากกว่า
ถามคุณหมอเรื่องที่เคยสงสัยอยู่ว่า เมื่อก่อนทาน depakine แล้วไม่เคยอยู่ดีๆก็ชัก คือทุกครั้งที่ชักก็จะเป็นเพราะมีสิ่งกระตุ้น แต่พอเปลี่ยนมาเป็น Keppra ก็เกิดอาการชักโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น เราเลยรู้สึกว่า Depakine น่าจะคุมได้ส่วนหนึ่ง ใช่มั๊ย คุณหมออธิบายว่า เนื่องจากยากันชักแต่ละตัวมีคุณสมบัติในการคุมชักได้ดีไม่เหมือนกัน บางทีเราใช้ตัวนี้ดีแต่พอ Switch ไปใช้อีกตัวอาจไม่ดีเท่าตัวแรกก็ได้ คือพอเปลี่ยนเป็น Keppra แล้วอยู่ดีๆก็ชัก เป็นไปได้ เพราะยากันชักอาจทำให้เปลี่ยนรูปแบบการชักไป ใน Case นี้หากลอง Keppra ดูแล้วยังชักอยู่ คงจะย้อนกลับมาใช้ Combine depakine+lamictal  โดยข้อเสียของ depakine+lamictal   นั้นคือบางคนอาจแพ้โดยมีผื่นขึ้นได้ แต่ถ้าไม่แพ้จะเป็นยา Combine ที่ดีมาก ผลต่อตับหรืออวัยวะอื่นไม่ค่อยมี  และLamictal ไม่มีผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม หรือหากมีก็เป็นไปในด้านบวก และอาจทำให้การเรียนรู้ดีขึ้นด้วยในเด็ก

ถามคุณหมอต่อไปว่า Case นี้ใช้ยาน่าจะหายมั๊ย
คุณหมอตอบว่า น่าจะ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า พอมาถึงยาตัวที่ 2 โอกาสจะหายขาดก็จะลดลง ฉะนั้นถ้าเลือกยาตัวแรกได้ถูกต้องเหมาะสม โอกาสหายขาดก็มี % มากกว่า เนื่องจากโรคนี้มีลักษณะแบบ Dynamic ถ้าชักบ่อยขึ้นจะรักษายากขึ้น ยาตัวเดิมที่เคยคุมอยู่ ก็อาจจะเอาไม่อยู่


ฟังจาก 2 ความเห็น ก็วิเคราะห์ค่อนข้างต่างกันค่ะ แต่แนวทางการรักษา ณ ตอนนี้ยังเหมือนเดิมอยู่ คือ ให้ on Keppra ต่อไปก่อน จนกว่าจะเห็นว่าเอาไม่อยู่ ทั้งเรื่องอาการชัก และ side effect ด้านอารมณ์ แต่หากเปลี่นยา Step ถัดไป ก็คงต้องตัดสินใจว่าจะใช้ยาตัวใด เพราะคุณหมอเลือกยาแตกต่างกันค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2011 เวลา 22:54 น.
วันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา ลูกมีอาการชักอีกแล้ว ห่างจากครั้งที่แล้ว 1.5 เดือนเองค่ะคราวนี้  ก่อนหน้านี้สัก 3 วันเค้าเริ่มมีน้ำมูกหน่อยๆ เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย แต่ไม่มีไข้อะไร ตอนเช้าวันที่ 11 ยังไป รร. อยู่เลย ก็ดูปกติดี เหมือนใกล้หายหวัดแล้ว ไม่มีไข้อะไร พอตอนค่ำประมาณ 1 ทุ่ม นั่งดูทีวีอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการเลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเริ่มจากกระตุกข้างขวาก่อน ปากเบี้ยวไปด้านขวา ตาเหลือกไปขวา มีปากเขียวหน่อยๆด้วย จากนั้นก็กระตุกทั้งตัว ระยะเวลาชักทั้งหมดประมาณ 2-3 นาที พอหยุดชัก ไม่ถึง 1 นาทีก็เริ่มรู้สึกตัว พูดตอนแรกๆเสียงจะอู้อี้ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เห็นลูกจับหัว เลยถามว่าปวดหัวมั๊ย เค้าก็ชี้ไปแถวๆท้ายทอยด้านขวา ว่าเจ็บ แล้วก็กดๆที่คิ้วด้านซ้าย เข้าใจว่าลูกน่าจะรู้สึกปวดหัวค่ะ แต่เค้าอธิบายไม่เป็น แต่คราวนี้ไม่ค่อยงอแง อารมณ์ดู OK มียิ้มและหัวเราะได้ แต่จะค่อนข้างสับสน คิดว่าเป็นตอนกลางวัน (ตอนนั้นทุ่มกว่าแล้ว) ถามแม่ว่าทำไมถึงเปิดไฟ ปิดม่าน พระอาทิตย์ไปไหน? ตอนแม่ปิดไฟให้นอน ประมาณสองทุ่มกว่าๆ ก็นึกว่าตัวเองยังไม่ทานข้าว

ก่อนชักยังไม่ได้ทานยามื้อเย็น เพราะปกติจะให้ทานตอนทุ่มครึ่งค่ะ ก็เลยให้ Keppra ไป 2.5 cc (ปกติทานอยู่ 2 cc) เพราะหมอเคยบอกว่าถ้ามีอาการอีกให้เพิ่มอีก .5 ไม่นานลูกก็หลับยาวถึงเช้า คืนนั้นไม่มีอาการอะไร หลับปกติ ไม่มีละเมอค่ะ

ว่าไปก่อนที่จะชักครั้งนี้ สังเกตดู Pattern จะเหมือนครั้งที่แล้วเลย คือ เป็นหวัดหน่อยๆ (อาการน้อยมาก) แต่ไม่มีไข้ ซึ่งก่อนหน้าที่ทาน depakine Pattern จะเป็นอีกอย่าง คือ เป็นไข้แล้วจึงชัก พอเปลี่ยนมาเป็น Keppra เลยรู้สึกว่าดูแลยากขึ้นมากเลยค่ะ แล้วก็ความถี่เริ่มมากขึ้นด้วย

เป็นไปได้ว่ายาอาจจะยังสูงไม่พอ แต่เนื่องจากเค้าทาน Keppra แล้วมี side effect ด้านอารมณ์ ส่วนตัวจึงคิดว่าไม่น่าจะเพิ่ม Dose ไปได้มาก เนื่องจากพ่อ แม่จะรับอารมณ์ไม่ไหว ตอนโทรปรึกษาคุณหมอ ตอนแรกหมอว่าจะให้เพิ่ม Dose ยา แต่พอแจ้งไปว่าอยากเปลี่ยนยามากกว่า คุณหมอเลยให้เพิ่ม depakine 0.25 cc เช้าเย็นเข้าไป ส่วน Keppra 2 cc เช้า เย็น เหมือนเดิมไปก่อน (ทาน 2 ตัว) แล้วหากมีอาการครั้งถัดไป อาจต้องเพิ่ม depakine อีก (และอาจต้องแบ่งเป็น 3 , 4 มื้อ) หรือค่อยๆลด Keppra แล้วใส่ lamictol เข้ามา (รายละเอียดคงต้องไปคุยอีกทีค่ะ เพราะครั้งนี้คุยทางโทรศัพท์)

ได้ถามคุณหมอไปว่าการที่เค้าเป็นหวัด น่าจะเกี่ยวกับการชักนี้มั๊ย คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้ เนื่องจากมีการติดเชื้อ ซึ่งถือว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้ชักได้เหมือนกัน


ไตตั้นชักคราวนี้รู้สึกท้อๆจังเลยค่ะ เหมือนต้องกลับไปเริ่มใหม่ยังไงไม่รู้ แล้วมันก็เริ่มถี่ขึ้นด้วย แต่ก็สัมพันธ์กับการไป รร นั่นแหล่ะค่ะ ใจจริงอยากให้ลูกได้ไปเรียนบ่อยๆ แต่ไปทีไรก็ติดหวัดกลับมา แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอให้ถึงเป็นไข้ ก็ชักซะแล้ว แต่หากไม่ได้ป่วยอะไร เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายาที่กินอยู่นี่มันคุมได้หรือยัง เฮ้อ!

อีกเรื่องคือ คืนถัดมา ตอนนอนเค้าจะละเมอ กรีดร้องขึ้นมา หลายครั้งเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการชักหรือเปล่า เรื่องกรีดร้องตอนกลางคืนนี้สังเกตว่าเค้าจะเริ่มๆเป็นเยอะตอนที่ทาน Keppra ใหม่ๆ ช่วงนั้นเป็นถี่ ก็คิดเอาเองว่าน่าจะเกี่ยวกับยา แต่พอหลังๆที่เหมือนปรับตัวได้แล้ว ก็เป็นน้อยลง แต่มีบางคืนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ทราบว่าการละเมอกรีดร้องนี้เกี่ยวกับการชักหรือยาที่กินหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 08:51 น.
อีกเรื่องคือ คืนถัดมา ตอนนอนเค้าจะละเมอ กรีดร้องขึ้นมา หลายครั้งเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการชักหรือเปล่า เรื่องกรีดร้องตอนกลางคืนนี้สังเกตว่าเค้าจะเริ่มๆเป็นเยอะตอนที่ทาน Keppra ใหม่ๆ ช่วงนั้นเป็นถี่ ก็คิดเอาเองว่าน่าจะเกี่ยวกับยา แต่พอหลังๆที่เหมือนปรับตัวได้แล้ว ก็เป็นน้อยลง แต่มีบางคืนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ไม่ทราบว่าการละเมอกรีดร้องนี้เกี่ยวกับการชักหรือยาที่กินหรือเปล่าคะ
ไม่เคยได้ยินเหมือนกันค่ะ ว่า Keppra มีผลอย่างนั้นต้องรอคุณพ่อแม่ท่านอื่นที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมแชร์แล้ว

น้องฝันร้าย หรือ เป็นไข้ หรือ ฯลฯ อย่างอื่นด้วยหรือเปล่า

ต่ายกลับคิดว่า การทานยาลมชักนั้น ทำให้หลับสนิท จนแทบไม่ฝันหรือรู้สึกตัวเลย (รู้ตัวก็ยากมาก เพราะหลับสนิทจริงๆค่ะ) ยิ่งช่วง dose ยาเพิ่มใหม่ๆ ยิ่งง่วงเพราะร่างกายปรับตัวยังไม่ได้

คงต้องถามหมอแล้วค่ะ ว่าชักหรือเปล่า (เพราะเวลาต่ายชักเวลาหลับนั้น ไม่เคยมีใครสังเกตุ เพราะนอนคนเดียวค่ะ) มีบ้างที่ฝันร้าย แล้วกรีดร้อง/ผวาตื่น ออกมา (ไม่ได้เกี่ยวกับยาเลย เพราะเครียดค่ะ)
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: popja ที่ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 09:40 น.
ถ้ากรณีน้องวิน ตอนที่ยังคุมไม่ได้ ตอนนอนหลับก็จะมีการกรีดร้องด้วยครับ อยู่ๆก็ร้อง
ที่บ้านชอบเรียกว่าปริ๊ดอีกแล้ว ถ้าเริ่มคุมได้ดี อาการร้องตอนหลับจะค่อยๆหายไปครับ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 09:42 น.
ต่ายกลับคิดว่า การทานยาลมชักนั้น ทำให้หลับสนิท จนแทบไม่ฝันหรือรู้สึกตัวเลย (รู้ตัวก็ยากมาก เพราะหลับสนิทจริงๆค่ะ) ยิ่งช่วง dose ยาเพิ่มใหม่ๆ ยิ่งง่วงเพราะร่างกายปรับตัวยังไม่ได้
เห็นด้วยกับคุณต่าย อีกอย่างการกรีดร้องตอนหลับเป็นอาการชักแบบหนึ่งด้วย น่าจะได้ยาหลายวันแล้วดีขึ้นมากกว่า

คุณหน่องอย่าเพิ่งท้อซะก่อน คุณหมอเปลี่ยนยาแล้วอาการคงดีขึ้นได้ หวังว่าน้องไตตั้นจะไม่แพ้ lamictol ยาตัวนี้แพ้กันบ่อย ถ้าไม่แพ้การใช้ยานี้ให้ผลได้ดีอย่างที่คุณหมอบอกไว้  โรคลมชักแย่อยู่ตรงที่รูปแบบการชักเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ทำให้บางครั้งเหมือนเราต้องเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ เพราะยาที่ใช้อยู่ใช้ไม่ได้ผล เข้มแข็งไว้นะคะ ยังต้องสู้กับโรคนี้อีกนาน
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 12:05 น.
ต่ายกลับคิดว่า การทานยาลมชักนั้น ทำให้หลับสนิท จนแทบไม่ฝันหรือรู้สึกตัวเลย (รู้ตัวก็ยากมาก เพราะหลับสนิทจริงๆค่ะ) ยิ่งช่วง dose ยาเพิ่มใหม่ๆ ยิ่งง่วงเพราะร่างกายปรับตัวยังไม่ได้
เห็นด้วยกับคุณต่าย อีกอย่างการกรีดร้องตอนหลับเป็นอาการชักแบบหนึ่งด้วย น่าจะได้ยาหลายวันแล้วดีขึ้นมากกว่า

คุณหน่องอย่าเพิ่งท้อซะก่อน คุณหมอเปลี่ยนยาแล้วอาการคงดีขึ้นได้ หวังว่าน้องไตตั้นจะไม่แพ้ lamictol ยาตัวนี้แพ้กันบ่อย ถ้าไม่แพ้การใช้ยานี้ให้ผลได้ดีอย่างที่คุณหมอบอกไว้  โรคลมชักแย่อยู่ตรงที่รูปแบบการชักเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ทำให้บางครั้งเหมือนเราต้องเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ เพราะยาที่ใช้อยู่ใช้ไม่ได้ผล เข้มแข็งไว้นะคะ ยังต้องสู้กับโรคนี้อีกนาน

พี่น้องคะ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าอาการกรีดร้องตอนหลับเป็นการชักรึเปล่า แต่ได้อ่านบทความใน Web นี้แหล่ะค่ะ
http://www.lomchakclub.com/v9/index.php/topic,80.0.html

เห็นเขียนไว้ว่า  "...อาการชักคล้ายชัก (Nonepileptic disorders) ได้แก่ อาการเป็น ๆ หายๆ อย่างอื่น ที่ไม่เข้ากับลักษณะอาการชักข้างต้น เช่น อาการเป็นลม (Syncope) จะหมดสติ ตัวอ่อน หน้าซีด เหงื่อแตก ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ล้มลง ส่วนน้อยจะล้มทันที บางคนเกร็งหรือสั่นกระตุกได้ แต่มักเกิดภายหลังอาการตัวอ่อนปวกเปียก มักฟื้นเร็วและรู้ตัวโดยไม่สับสน การนอนผิดปกติ (Sleep disorders) มักเกิดขณะหลับ มีลักษณะเฉพาะเช่น กรีดร้อง (Night terror) หรือเดินละเมอ ...."

ก็เลยสงสัยอยู่ว่าตกลกใช่เป็นการชักด้วยหรือเปล่า ? (Nonepileptic disorder)

สำหรับเรื่องแพ้ lamictol ไม่ทราบว่ามีการเจาะเลือดตรวจได้ก่อนมั๊ยคะว่าแพ้หรือเปล่า เพราะอย่าง carbamacipine นั้นเห็นคุณหมอบอกว่าสามารถตรวจเลือดก่อนว่าจะทานได้มั๊ย ถ้าไม่ได้ หลังจากทานแล้วนานกี่วันคะถึงจะสรุปได้ว่าแพ้หรือเปล่า เท่าที่ทราบอาการแพ้คือจะมีผื่นขึ้น ใช่มั๊ยคะ แล้วมีอาการอื่นอีกมั๊ยคะ
ตอนนี้ ใจคิดว่า Keppra น่าจะเอาไม่อยู่ เพราะรู้สึกมัน sensitive เหลือเกิน เป็นหวัดแบบนิดเดียวจริงๆ ก็ชักแล้ว 
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2011 เวลา 12:19 น.
อาการคล้ายชักมีเยอะค่ะ แต่บางครั้งก็ชักจริงด้วยทำให้ดูยาก คุณหน่องอ่านบทความละเอียดจังที่ของคุณ sudarat เอามาลงเยอะมาก  น่าจะตัดจากตำรามา พี่อ่านไม่ไหวอ่านเยอะแล้ว งง ด้วย  :-\\
lamictal ต้องทานแล้วดูเอาค่ะ ยังไม่เคยได้ยินว่ายาตัวนี้ตรวจเลือดดูได้ ลองถามหมอดูอีกทีก็ได้ค่ะ อาการแพ้หลังทาน วันสองวันก็เห็นแล้ว จะเป็นผื่นแดงทั่วตัวเลย ดูบวมๆ ด้วย หมออาจให้ลองยาขนาดต่ำๆก่อน แล้วถ้าคิดว่าไม่มีปัญหาค่อยเพิ่มขนาดขึ้น
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: ann ที่ วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2011 เวลา 10:36 น.
 หลิงหลิงเคยทานเดปพากิ้นแล้วคุณหมอเพิ่มlamictalแต่จะมีผลค้างเคียงคือถ้าทาน2ตัวนี้คู่กันจะมีผื่นแพ้ค่อนข้างง่าย ตอนหลังหมอเลยถอดเดปพากิ้นออกเพราะหลิงหลิงทั้งผื่นขึ้นและยังมีเกร็ดเลือดต่ำตอนadmidอีก หมอเห็นว่าถอดออกแล้วไม่มีอาการเพิ่มเลยให้หยุดไปเลยแต่แอนอยากให้ระวังเพราะแอนรู้สึกว่าหลิงหลิงทานlamictalแล้วชักเยอะขึ้นและถ้าโดนปรับยาเมื่อไรยิ่งทำให้ชักเยอะขึ้นทุกที เลยกำลังลดยาอยู่และกำลังจะค่อยค่อยถอดออกและตอนนี้ก็กำลังใส่keppraลงไปแทนค่ะ ตอนนี้ก็ดูเรื่องอารมร์ของน้องอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็เห็นว่าหลายหลายคนใช้แล้วค่อนข้างดีก็เลยขอคุณหมอลองใช้ค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: KATE ที่ วันศุกร์ที่ 09 กันยายน 2011 เวลา 13:51 น.
google อายุ 9 เดือน ทาน Keppra คะ 1 cc เช้าเย็น ช่วงอาทิตย์แรกที่ทานมีอาการกระสับกระส่ายมาก นี่ทานมา 5 เดือนแล้ว ถามว่ามีผลกับอารมณ์ไหม เกดไม่แน่ใจ เพราะว่า นิสัยก็ค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่พอใจก็จะกรี๊ดออกมาเลย (ส่วนตัวคิดว่าไม่น่ามาจากผลของยา แต่เพราะตามใจมากกว่า)ยิ่งช่วงที่มีอาการชัก บางคืนก็มีสะดุดตื่นมีอาการกรีดร้องออกมา มันคืออาการชักหรือป่าวก็ไม่แน่ใจอะคะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2011 เวลา 17:14 น.
หายไปนาน เพราะค่อนข้างยุ่ง เนื่องจากลูกคนเล็กพอเริ่มเดินได้ก็ซนมาก เลยไม่ค่อยว่างมา Update อาการไตตั้นเลยค่ะ

สรุปโดยรวมก็คือ ตั้งแต่เริ่มทาน Keppra แทน Depakine ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ไตตั้นชักถี่ขึ้น และรูปแบบการชักก็เปลี่ยนไปด้วย จากที่เมื่อก่อนประมาณ 3-4 เดือนครั้ง มาเป็นเฉลี่ยเดือนละครั้ง และจากที่เมื่อก่อนจะชักเมื่อมีสิ่งกระตุ้น คือ เหนื่อยกับไข้ ช่วงที่ทาน Keppra บางครั้งชักแบบไม่มีสิ่งกระตุ้นก็มีด้วย และเนื่องจากกิน keppra แล้วมี side effect เรื่องอารมรณ์ คือ จะ aggressive จึงไม่สามารถเพิ่มให้ถึงระดับได้ (พ่อ แม่ ก็รับอารมณ์ไม่ไหวค่ะ)
Plan การปรับยา ก็คือ ช่วงนี้กำลังใส่ Lamictal ให้ได้ระดับยาก่อน คือ จากน้ำหนักตัวตอนนี้ 17.8 kg. สามารถทาน Lamictal 25 mg.ได้วันละ 3-4 เม็ด  แต่ตอนนี้ทานอยู่ที่ 2 เม็ด/วัน เมื่อ Lamictal ได้ระดับแล้ว จึงค่อยๆลด Keppra และเพิ่ม Depakine และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ไปพบคุณหมอ คุณหมอให้ Frisium มาเสริมในกรณีที่มีปัจจัยที่เสี่ยงต่อการชัก เพราะก่อนหน้านี้เคยไปฉีดวัคซีน พอรุ่งขึ้นตัวรุมๆก็ชักเลย และเคยเหนื่อยจากการเดินทางจากใต้มากรุงเทพ ก็ชัก ซึ่งคุณหมอว่าหากกลัวว่าเค้าอาจจะชัก ก็ให้ Frisium ดักไว้เลย ซึ่ง Side effect ก็คือง่วงนอน
ดูประวัติการชักที่ผ่านมาสรุปได้ดังนี้นะคะ
1 ปีแรก (depakine) ชักทั้งหมด 5 ครั้ง
ปีที่ 2 (on depakine) ชักทั้งหมด 3 ครั้ง
ปีที่ 3 (Keppra) เฉพาะปีนี้ชักไปแล้วรวม 9 ครั้ง

เท่าที่คุณหมอดูอาการชักและ EEG คิดว่าน่าจะเป็นลมชัก ประเภท extratemperal lobe epilepsy ซึ่งค่อนข้างดื้อต่อยา ผ่าตัดได้ แต่เปอร์เซนต์หายชักขาดหลังผ่าตัดค่อนข้างน้อย น้อยกว่าประเภท  temperal lobe epilepsy เยอะ  (temperal lobe epilepsy จะประสบผลสำเร็จในการผ่าตัดมากกว่า) แต่ตำแหน่งที่ว่าถ้าจะให้ระบุว่าใช่ชัวร์ก็ต้องทำการตรวจละเอียดต่อไป ด้วยวิธี ICtal  PET Scan ซึ่งเป็นวิธีหาจุดกำเนิดชักที่แน่นอน เพื่อวางแผนผ่าตัดต่อไปในอนาคต
ฟังแล้วก็เครียดเลย
ช่วงนี้ก็คือให้ปรับยาไปก่อน เนื่องจากยาที่ทานอยู่ยังไม่ได้ระดับ แต่ต้องค่อยๆเพิ่ม เพราะหากเพิ่มเร็วจะมีผื่นแพ้ได้ หากใช้ยาแล้วยังไม่สามารถคุมชักได้ คงต้องมาคุยเรื่องผ่าตัดต่อไปค่ะ
จุดกำเนิดชักของไตตั้นอยู่ที่บริเวณหน้าซ้าย ตำแหน่ง F3 ,F7  ทำให้อาการชักจะสังเกตว่า ซีกขวากระตุก มือขวากระตุกเด่น ตาเหลือกขวา หลังชัก หากชักนาน จะเห็นความผิดปกติด้านการพูด เช่น พูดช้าลง วรรณยุกต์เพี้ยน และ Start ซ้ำๆที่ต้นประโยค
แต่หลังจาก Start Lamictal เท่าที่สังเกตคือ เค้าจะชักสั้นลง (ประมาณ 1 นาที ไม่เกิน 2 นาที) กระตุกเบาลง แต่ความถี่ไม่ได้ลดลง (เหมือนจะมากขึ้นหน่อยด้วยซ้ำ คือ ช่วง  2 เดือนหลังนี้ ชักไป 3 ครั้งแล้ว) คุณหมอว่าดูจะเหมือนเป็น sign ที่ดี แต่คงต้องรอให้ยาได้ระดับก่อน จึงจะสรุปได้ชัดเจนขึ้น

มีเรื่องเศร้าอีกเรื่องที่อยากเตือนไว้เป็นอุทธาหรณ์พ่อแม่ท่านอื่นด้วย คือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไตตั้นขี่จักรยานแล้วล้มหัวกระแทกฟุตบาท เย็บ 4 เข็ม แม่เห็นกับตาแต่รับไว้ไม่ทัน ตอนวิ่งเข้าไปอุ้มเค้า ก็กำลังชักอยู่ แล้วหัวก็แตกเลือดออกเต็มเลย ตกใจมากๆค่ะ ตอนแรกยังนึกว่าเค้าล้ม หัวฟาด แล้วชัก (ครั้งนี้ชักประมาณ 1-2 นาที) แต่หลังจากคุยกับหมอ สรุปว่าเค้าน่าจะชัก หมดสติ แล้วจึงล้ม เพราะการล้มแค่นี้ไม่ทำให้ชัก ต้องล้มแบบแรงกว่านี้มากๆจึงจะทำให้ชักได้ค่ะ
คนที่เป็นลมชักแล้วยังคุมชักไม่ได้ ห้ามขี่จักรยาน รถ ขึ้นรถเมล์ หรือว่ายน้ำ (น่าจะกีฬาอีกหลายๆอย่างด้วย) ข้อนี้ตัวเองก็ทราบอยู่แล้ว แต่ประมาทไงคะ เพราะมันไม่เคยเกิด ก็เลยประมาท หมวกกันน็อกก็ไม่ได้ใส่ให้ลูกด้วย แย่จริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ชักในวันนั้น น่าจะเกิดจาก เค้าตื่นเช้ามาก ประมาณก่อน  6โมง เช้า แล้วถึงเวลาไม่ยอมนอนกลางวัน ขอขี่จักรยาน ความจริงแม่ก็ไม่น่าอนุญาต แต่ก็ให้เพราะใจอ่อน และประมาทด้วย ได้บทเรียนอีกบทแล้ว หลายบทเหลือเกินค่ะ
ก็ยังดีว่าไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ตอนนี้ตัดไหมเรียบร้อยแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 23:09 น.
26/12/2554

ก่อนตื่นนอนตอนเช้า ประมาณ 7.30น. นอนอยู่ดีๆยังไม่ทันตื่นลูกก็ชักค่ะ นานประมาณ 1-1.5 นาที จากนั้นสัก 10 นาทีก็ตื่น กลัวลูกชักซ้ำ ก็เลยรีบให้ทานยาหลัก+Frisium ครึ่งเม็ด เลยหลับต่อ ตื่นอีกที 10 โมงเลย ตื่นมาก็ดูปกติดีค่ะ ระหว่างวันเหมือนง่วงๆ คิดว่าน่าจะเป็นผลจาก Frisium+เพลียหลังชัก

เย็นวันนั้นก็เลยพาไปพบหมอ คุณหมอปรับยาให้เร็วขึ้น โดยเพิ่ม Lamictal อีก 0.5 เม็ดตอนเย็น และให้ทาน Frisium 0.5 เม็ดก่อนนอนทุกคืน

ทานมา 2 วันแล้ว ดูๆก็ไม่ค่อยง่วงมากเท่าไร ยังไม่ค่อยยอมนอนง่ายๆเหมือนเดิม

ช่วงนี้ไตตั้นชักบ่อยขึ้น เดือนนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว กลุ้มมากค่ะ คิดว่ายาน่าจะยังไม่ได้ระดับ หรือหากเพิ่มจนถึงระดับแล้วยังเป็นบ่อยอยู่ ก็อาจจะดื้อยา

ตอนนี้มีข้อสงสัยลืมถามคุณหมอค่ะ ว่า Frisium ทานใกล้นมได้มั๊ยคะ เพราะปกติทานยามื้อค่ำประมาณ 19.30 น. แล้วจึงให้ทานนมตอน 20.30 หากต้องทาน Frisium ก่อนนอนจะใกล้เวลาทานนมน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 23:16 น.
ยาทานใกล้เวลานมทำให้ดูดซึมไม่ดีค่ะ ทานก่อนหรือหลังนมประมาณ 1 ชม.ค่ะ ถ้าทานนม 20.30 น.แล้วนอนเลย ก็ทาน frisium ตอน 17.30 เลยก็ได้ พอทานนมแล้วจะได้หลับไปเลย ง่วงจากยาด้วยพอดีเลย
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2011 เวลา 23:27 น.
พี่น้องจะหมายถึง ทานพร้อมยาหลักตอน 19.30 รึเปล่าคะ
ตอนแรกก็ว่าจะให้พร้อมยามื้อค่ำเลยเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะง่วงซะก่อนเวลานอนน่ะค่ะ แต่สังเกตดูแล้ว เค้าก็ไม่ค่อยง่วงมากเท่าไร งั้นก็น่าจะให้ได้

แล้วทานยาใกล้อาหารได้มั๊ยคะ เพราะส่วนใหญ่มื้อค่ำจะได้ทานหลังอาหารเลยทุกที เพราะทานข้าวนานมากกกค่ะกว่าจะเสร็จ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2011 เวลา 08:38 น.
มีเรื่องเศร้าอีกเรื่องที่อยากเตือนไว้เป็นอุทธาหรณ์พ่อแม่ท่านอื่นด้วย คือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไตตั้นขี่จักรยานแล้วล้มหัวกระแทกฟุตบาท เย็บ 4 เข็ม แม่เห็นกับตาแต่รับไว้ไม่ทัน ตอนวิ่งเข้าไปอุ้มเค้า ก็กำลังชักอยู่ แล้วหัวก็แตกเลือดออกเต็มเลย ตกใจมากๆค่ะ ตอนแรกยังนึกว่าเค้าล้ม หัวฟาด แล้วชัก (ครั้งนี้ชักประมาณ 1-2 นาที) แต่หลังจากคุยกับหมอ สรุปว่าเค้าน่าจะชัก หมดสติ แล้วจึงล้ม เพราะการล้มแค่นี้ไม่ทำให้ชัก ต้องล้มแบบแรงกว่านี้มากๆจึงจะทำให้ชักได้ค่ะ
คนที่เป็นลมชักแล้วยังคุมชักไม่ได้ ห้ามขี่จักรยาน รถ ขึ้นรถเมล์ หรือว่ายน้ำ (น่าจะกีฬาอีกหลายๆอย่างด้วย) ข้อนี้ตัวเองก็ทราบอยู่แล้ว แต่ประมาทไงคะ เพราะมันไม่เคยเกิด ก็เลยประมาท หมวกกันน็อกก็ไม่ได้ใส่ให้ลูกด้วย แย่จริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ชักในวันนั้น น่าจะเกิดจาก เค้าตื่นเช้ามาก ประมาณก่อน  6โมง เช้า แล้วถึงเวลาไม่ยอมนอนกลางวัน ขอขี่จักรยาน ความจริงแม่ก็ไม่น่าอนุญาต แต่ก็ให้เพราะใจอ่อน และประมาทด้วย ได้บทเรียนอีกบทแล้ว หลายบทเหลือเกินค่ะ
ก็ยังดีว่าไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ตอนนี้ตัดไหมเรียบร้อยแล้วค่ะ

บทเรียนราคาแพงค่ะ ดีว่าไม่เป็นอะไรมาก เฮ้ออออออ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2011 เวลา 09:08 น.
พี่น้องจะหมายถึง ทานพร้อมยาหลักตอน 19.30 รึเปล่าคะ
ตอนแรกก็ว่าจะให้พร้อมยามื้อค่ำเลยเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะง่วงซะก่อนเวลานอนน่ะค่ะ แต่สังเกตดูแล้ว เค้าก็ไม่ค่อยง่วงมากเท่าไร งั้นก็น่าจะให้ได้

แล้วทานยาใกล้อาหารได้มั๊ยคะ เพราะส่วนใหญ่มื้อค่ำจะได้ทานหลังอาหารเลยทุกที เพราะทานข้าวนานมากกกค่ะกว่าจะเสร็จ

ให้ยาพร้อมยามื้อเย็นเลยค่ะ
ยากันชักส่วนใหญ่ทานได้ไม่จำกัดเวลา จะก่อน+หลังอาหารก็ได้ เพียงแต่ยาบางตัวทานพร้อมนม หรืออาหารมันมากๆ การดูดซึมจะไม่ดี
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Jen ที่ วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2011 เวลา 00:09 น.
เป็นห่วงไตตั้นจัง ช่วงหลังนี้ชักบ่อยขึ้น โดยที่ไม่มีไข้ด้วย ขอเอาใจช่วยนะครับ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 07 มกราคม 2012 เวลา 14:39 น.
ขอบคุณค่ะคุณเจน ช่วงนี้ถี่ขึ้นมากๆ Sensitive มากขึ้นทั้งกับไข้และวิ่งเหนื่อย เดี๋ยวนี้นับกันเป็นรายสัปดาห์แล้ว ไม่เหมือนสองปีแรกที่ สาม สี่เดือนจะชักสักครั้ง ตั้งแต่เปลี่ยนยารูปแบบการชักก็เปลี่ยนไปด้วย ยิ่งกว่ากลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ซะอีก เริ่มสังหรณ์ใจและมองไปถึงเรื่องการผ่าตัด .....ยังไงก็ดีใจด้วยนะคะที่น้องจัมพ์อาการดีขึ้น น่าจะถูกกับ Keppra ส่วนไตตั้นนี่คิดว่า Failed กับ Keppra แน่ๆ แต่ตอนนี้หมอก็ยังไม่ได้ถอดออกนะคะ Plan คือรอให้ Lamital ได้ระดับก่อน แล้วจึงค่อยๆถอดออกค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: ann ที่ วันเสาร์ที่ 07 มกราคม 2012 เวลา 16:18 น.
เท่าที่อ่านแปลว่าไตตั้นคงไม่ถูกกับเคปป้าเหมือนน้องหลิงค่ะ. ทานตอนแรกอาการดีขึ้นแค่1อาทิตย์แต่ยิ่งเพิ่มยิ่งแย่ลงมาก ตอนนี้ถอดออกหมดแล้วค่ะแอนอยากจะถอดซาบลิวต่ออีกที่เคยแพลนกะอ.โยไว้แต่ก็กลัวค่ะน้องหลิงไม่มีอาการมาครบ1เดือนพรุ่งนี้ค่ะ กลัวเหมือนกันว่าไปปรับอะไรแล้วมันจะกลับมาค่ะสู้สู้นะคะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: KATE ที่ วันเสาร์ที่ 07 มกราคม 2012 เวลา 16:50 น.
กิน keppra แล้วมี side effect เรื่องอารมรณ์ คือ จะ aggressive จึงไม่สามารถเพิ่มให้ถึงระดับได้ (พ่อ แม่ ก็รับอารมณ์ไม่ไหวค่ะ)

เห็นด้วยคะ กูเกิ้ลก็ทาน keppra มาได้ตั้งแต่ 4-5 เดือน ตอนนี้ 13 เดือนแล้ว ชักทีก็เพิ่มยามาเรื่อยๆจาก 0.25 cc มาตอนนี้ 3 cc ทุกครั้งที่เพิ่มจามีอาการหลับเยอะช่วงอาทิตย์แรก แล้วก็จางอแงมาก เช่นช่วงกลางคืนจาตื่นบ่อย กระสับกระส่าย แล้วก็มีอารมณ์มากเวลาโมโห แต่โดยรวมยาตัวนี้ดีคะ คุมชักได้ดีทีเดียว ชักน้อยลงมากคะ

ยังไงก็เอาใจช่วยน้องไตตั้นนะคะให้คุมชักได้ไวๆๆ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 07 มกราคม 2012 เวลา 17:24 น.
ที่ว่าอาการดีขึ้นคุณแอนหมายถึง ถอด Keppra เฉยๆเลยหรือคะ หรือว่ามีใส่ยาตัวใหม่เพิ่มไปด้วย
หากถอด Keppra เฉยๆแล้วอาการดีขึ้น ก็สงสัยว่า หากเราสงสัยว่ายาตัวนั้นๆไม่ได้ผล แล้วยังทานอยู่ มันจะทำให้อาการแย่ลงหรือคะ นอกซะจากยาตัวนั้นไปมีผลต่อระดับยาตัวอื่นที่ทานอยู่ แต่เท่าที่ทราบ Keppra ไม่ค่อยมีผลกับยาตัวอื่นหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: ann ที่ วันเสาร์ที่ 07 มกราคม 2012 เวลา 19:48 น.
ช่วงที่ถอดเคปป้าอ.โยให้ใส่ฟิเซี่ยมค่ะแต่ใส่แล้วอาการก็ยังแย่อยู่ตัวอ่อนมากขึ้นหลับแบบไม่ต้องทำอะไรเลยวันวัน อ.โยก็เลยไม่อยากเพิ่มฟิเซี่ยม เพิ่มแค่2รอบแต่ถอดเคปป้ามากรอบกว่าเยอะบางรอบก็ไม่ได้เพิ่มไรเลยลดอย่างเดียวค่ะ ก็อย่างที่คุณป็อปว่าการใส่หรือถอดยาอาจทำให้อาการสวิงอยู่ช่วงนึงถ้าไม่ได้มากจนน่าตกใจก็ทำใจให้มันสวิงสัก2สัปดาห์ค่ะ แล้วจะอยู่ตัวดีเอง ช่วงหลังหลังอ.โยลดอย่างเดียวโดยไม่ใส่อะรเพิ่มเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 07 มกราคม 2012 เวลา 20:12 น.
ไตตั้นก็ได้ทาน Frisium เหมือนกันวันละ 0.5 เม็ดก่อนนอน หรือหากมีอาการ แรกๆก็เหมือนจะง่วงอยู่ แต่ทานมาได้สักสัปดาห์ ก็ดูปกติ ไม่ค่อยจะยอมนอนอีกแล้ว ตอนตัวรุมๆก็เอาไม่อยู่ ยังมีอาการชักอยู่ ช่วงปรับยานี่ชักถี่ขึ้นมาก เดือนธันวาที่ผ่านมาตกสัปดาห์ละครั้งแล้ว เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้เลย ช่วงนี้มีแต่เพิ่มยานะคะ ไม่ได้ปรับลดยาเลย อาการกลับถี่ขึ้น แต่พูดถึงระยะชักและความรุนแรงก็เหมือนจะน้อยลง กว่าตอนที่ทาน Keppra ตัวเดียวค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 16:39 น.
มา Update อาการของลูกค่ะ
หายไปนานจนหากระทู้ไม่เจอ ไม่ใช่ไม่ชักนะคะ ตรงกันข้าม ตอนนี้อาการมาถี่กลายเป็นชักสัปดาห์ละครั้งแล้วค่ะ ยังกะคนละคนกะเมื่อก่อนเลย กลุ้มใจมากค่ะ ช่วงนี้ก็เลยปรับยากันถี่มาก อาการดูจะแย่ลงกว่าเมื่อก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นการชักโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น เหมือนโดนตั้งเวลาไว้ว่า พอครบ 7 วันก็จะมาที
ที่ผ่านมาเป็นมาทั้งหมด 3 ปี กำลังขึ้นปีที่ 4 ,ปีแรกชักไป 8 ครั้ง ปีที่ 2 ชัก 3 ครั้ง ปีที่ 3 รวม 11 ครั้ง แต่ปี 2555 นี้ใน 2 เดือนชักไปแล้ว 6 ครั้ง

ยาที่ทานอยู่ตอนนี้ คือ  : Depakine Chrono 1/2 เม็ดเช้า 3/4 เม็ดเย็น  Keppra 0.5 cc.*2 Lamital 0.5 เม็ด*2  และ Frisium 0.5 เม็ดก่อนนอนกลางวันและกลางคืน

ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา ชักเฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง ตอนแรก Plan จะเอา Lamictal ออก เพราะตั้งแต่ใส่เข้ามาก็เหมือนจะชักถี่ขึ้น (แต่ระหว่างนั้น Depakine ก็ยังไม่ได้ระดับด้วย) แต่เอาออกจนกระทั่งเหลือมื้อละ 1/2 เม็ด เช้า เย็นแล้ว ความถี่ก็ยังเหมือนเดิม คุณหมอเลยให้คง Lamictal ไว้ แล้วเปลี่ยนมาลองลด Keppra แทน โดยระหว่างลด Keppra ก็เพิ่ม Dose Depakine ไปด้วย จนสุดท้ายเปลี่ยนมาทาน Depakine Chrono เนื่องจากระดับยาในกระแสเลือดจะคงที่มากกว่าแบบ Syrupt 
ตอนที่ลด Keppra และเปลี่ยนมาทาน Depakine Chrono  วัดระดับยาได้ถึง 115 สูงสุดเท่าที่เคยทานมา  สามารถทำลายวงจรตารางชักไปได้จากเดิม ประมาณ 7 วัน ก็ยืดไปได้ถึง 18 วัน (ถือว่านานสุดในช่วง 3 เดือนมานี้) คุณหมอจึงสั่งลด Keppra ต่อไปอีก โดยคงยาตัวอื่นๆไว้ โดยหากลด Keppra จนหมดแล้วความถี่ในการชักไม่ได้มากขึ้น (ประมาณว่าไม่ได้ชักถี่ขึ้น วงรอบน้อยกว่า 7 วัน) ก็จะถอด Keppra ออก เพราะคาดว่ายาตัวนี้ไม่ได้ช่วยอะไร เว้นแต่ว่าชักถี่ขึ้นกว่าเดิม ก็อาจถอดไม่ได้ ต้องกลับมากินต่อ

หมอสรุปว่าน่าจะอยู่ในกลุ่มที่ดื้อยา แต่ทั้งนี้อาจจะมีการลองยาตัวที่ 4 ซึ่งได้มองยาไว้บ้างแล้วตามนี้ค่ะ

1.   Zonigren
2.   Topamax
3.   Lyrica
4.   Neurontin

ซึ่งหากตัวที่ 4 ยังคุมชักไม่ได้ คิดว่าคงต้องคุยถึงเรื่องการผ่าตัดเป็น Step ถัดไป

ล่าสุดวันที่ 24/2/55 ก็ชักอีกแล้ว ห่างจากครั้งล่าสุด 7 วันพอดี โดยไม่มีสิ่งกระตุ้น ซึ่งตั้งแต่เปลี่ยนยามาเป็น Keppra และล่าสุดบวก Lamictal เข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นการชักโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น และวงรอบจะสั้นลงเรื่อยๆ

พัฒนาการด้านการพูดช่วงนี้ สังเกตเห็นชัดเลยว่าพูดช้าลง ลักษณะเหมือนพูดยานๆ จะเล่าอะไรเป็นเรื่องราวก็จะติดๆเหมือนต้องพยายามคิด น่าจะเกิดจากการที่ชักบ่อย เมื่อก่อนหลังชักเค้าก็จะมีปัญหาเรื่องการพูดอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งหากไม่ชักซ้ำ หรือทิ้งช่วงเป็นเดือนๆก็จะดีขึ้นจนดูปกติ แต่ช่วงนี้เนื่องจากเป็นถี่เหลือเกิน คิดว่าสมองน่าจะฟื้นฟูไม่ทัน
คุณครูที่โรงเรียน Comment เรื่องขามาว่า กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรง และรูปขาเหมือนจะผิดปกติหน่อยๆ อาจต้องใส่รองเท้าสั่งตัด เลยคิดจะพาไปพบหมอพัฒนาการ ไม่ทราบว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นพอจะแนะนำคุณหมอพัฒนาการได้มั๊ยคะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: jelly ที่ วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 17:50 น.
ถ้าพบหมอพัฒนาการ เค้าก็คงบอกว่าช้า ผมว่าไปพบครูเลยดีกว่าฝึกพวก OT หรือ speech ครับ เอาไปให้ครูประเมินว่าพร่องส่วนไหน

ถ้าหมอพัฒนาการที่เคยพาเยลลี่ไปก่อนจะรักษาลมชัก ก็ไปที่ศูนย์การแพทย์นวบุตรแถวสวนลุมครับ จำชื่อคุณหมอไม่ได้(ผู้หญิง)   แต่พอมาเริ่มรักษาลมชัก คุณหมอมนตรีเป็นคนดูพัฒนาการให้ทั้งหมด (คุณหมอครอบจักรวาล) และส่งต่อให้ครูฝึกครับ เวลามีนัดตรวจ คุณหมอก็จะคอยเช็คพัฒนาการให้ตลอด กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ความเข้าใจคำสั่ง บนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง ...

ถ้าเรื่องตัดรองเท้า มีคุณหมอที่ รพ วิชัยยุทธดูเรื่องกระดูกเท้า ตัดรองเท้าโดยเฉพาะ จำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน เดวไปค้นมาให้ครับเป็นหมอแก่แล้วแต่มีชื่อเรื่องตัดรองเท้า คุณหญิงพาน้องกรไปตัดมาเหมือนกันครับ หรือไม่โทรไปวิชัยยุทธ ถามชื่อหมอกระดูกเท้าที่ตัดรองเท้าได้ครับ

ถ้าคุมชักไม่ดี ฝึกพัฒนาการอาจไม่เห็นผลมาก
ถ้าคุมชักได้ดี โอการที่จะฟื้นฟูก็มีมากขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 19:18 น.
เห็นด้วยค่ะ ไปพบหมอพัฒนาการ ช้ามาก  ดูเด็กก็ไม่ครบว่า เด็กช้าเพราะอะไร เอาเกณฑ์ตำรามาเป็น
ตัวตัดสินเด็กเสียมากกว่า ต่ายเอง เอาลูกไปพบหมอพัฒนาการมาปีกว่า  พอได้พบ อ.ปราโมทย์ตอนนี้
ตัดสินใจแล้วว่า คงไม่พบหมอพัฒนาการแล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะ ทางครูฝึกแนะนำวิธีให้มาที่บ้าน
และให้ต่ายฝึกเอง ไม่ได้เรียกไปเรียนด้วยค่ะ เพราะลูกต่ายพัฒนาการช้า แต่ก็ช้าไม่มาก

การพูดช้าไม่ต้องห่วง ถ้าคุมชักได้ซักระยะ จะกลับมาพูดได้เหมือนปกติค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: แกมแม่เนย ที่ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 13:30 น.
อ้างถึง
ถ้าเรื่องตัดรองเท้า มีคุณหมอที่ รพ วิชัยยุทธดูเรื่องกระดูกเท้า ตัดรองเท้าโดยเฉพาะ จำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน เดวไปค้นมาให้ครับเป็นหมอแก่แล้วแต่มีชื่อเรื่องตัดรองเท้า คุณหญิงพาน้องกรไปตัดมาเหมือนกันครับ หรือไม่โทรไปวิชัยยุทธ ถามชื่อหมอกระดูกเท้าที่ตัดรองเท้าได้ครับ

คุณหมอดิเรกค่ะ ส่วนหมอพัฒนาการ ชื่อ คุณหมอนิตยา สองท่านนี้อยู่วิชัยยุทธ น้องเนยเคยไปพบทั้งคู่ หมอพัฒนาการนัดยากมาก รอเป็นเดือนๆ เลยไม่ได้ไปอีก ตอนนี้ไปตัดรองเท้ากับตรวจแต่หมอดิเรกค่ะ

อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นคล้ายกัน น้องเนยล้มบ่อย การเดินดูเขย่งๆ ไม่ค่อยลงน้ำหนักเท้า มีปัญหาเท้าแบน เลยต้องใส่รองเท้าดัด

หมอพัฒนาการเลิกหาไปแล้วค่ะ ตอนนี้เน้นคุมชักให้ได้ กับ ไปกระตุ้นไฟฟ้าทำกายภาพที่ขาแทน
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: ann ที่ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 14:33 น.
ใช่ค่ะเมื่อก่อนแอนก็หาอ.นิตยาอยู่ตั้งแต่คลอดที่วิชัยยุทธเหมือนกัน อ.คิวแน่นมากมาก ไม่ค่อยอยากรับเครสใหม่แพงก็แพง แต่หลังหลังรู้สึกว่าหาไปก็เปล่าประโยชน์ถ้าคุมชักไม่ได้ พนก ก็ไม่เพิ่มหรอกเลยเลิกไปค่ะเอาไปฝึกอย่างเดียวค่ะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 16:47 น.
ขอบคุณทุกท่านที่แนะนำค่ะ

หมอนิตยา เคยโทรไปแล้วเหมือนกัน คิวนัดเต็มถึงเดือน พ.ค ค่ะ หมอดิเรกเมื่อเช้าโทรไปก็คิวแน่นเหมือนกัน เร็วสุดก็ 16 มีนาคม แต่เป็นคิวแทรกตอนทุ่ม  หากเป็นคิวนัดก็ต้องรอถึง 20 พ ค เหมือนกัน
อ่านจากคำแนะนำแล้ว ว่าจะนำไปฝึกกับนักพัฒนาการเลยดีกว่า แล้วแต่ละที่แตกต่างกันมั๊ยคะ? ถ้าไม่จะได้เลือกใกล้บ้านที่สุด ตอนนี้หากสะดวกสุดก็จะเป็น Kids in Sync ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า (เห็นว่าเป็นทีมเดียวกับ Special child center) เคยนำลูกไปประเมินเมื่อปีที่แล้ว ก็ได้รับคำแนะนำให้ฝึกเกี่ยวกับเรื่องกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็กค่ะ แต่ตอนนั้นยังไปๆมาๆกรุงเทพ สุราษฎร์อยู่ เพราะเค้าไม่ได้ชักบ่อยมาก      เลยไม่ได้สมัครเรียน ค่าเรียนหากจ่ายเป็นครั้งก็ 700 จ่ายทั้ง Course ก็ประมาณ 600 ต่อชั่วโมงค่ะ.........หรือหากแต่ละที่คุณภาพไม่เหมือนกัน ควรจะเรียนที่ไหนดีคะ?

สำหรับเรื่องยากันชัก พอมาทานหลายตัวเข้า ก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า ยาบางตัวอาจทำให้ชักมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า Paradoxical effect คือยากันชักที่ใส่เข้าไปเพื่อให้ชักน้อยลงนั้น แต่ผลเป็นตรงกันข้ามกลับทำให้ชักมากขึ้น หมออธิบายว่า ไม่ทราบกลไกชัดเจน แต่ยาอาจไปแข่งกันอยู่ ยาตัวใหม่อาจไปทำอะไรสักอย่างกับกลไกของยาตัวเก่า ทำให้เกิดการชักมากขึ้น แต่กรณีไตตั้น ตอนเปลี่ยนจาก Depakine มาทาน Keppra เดี่ยวๆ รอบการชักก็ถี่ขึ้นเช่นกัน อันนี้ก็เรียกว่า Paradoxical effect เหมือนกัน ฟังแล้วก็งงๆ ไม่แน่ใจว่าจับใจความมาถูกหรือเปล่า (รบกวนพี่น้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยค่ะ)
พอหมอว่าอย่างนี้ แรกๆเลยเข้าใจว่าที่ชักมากขึ้นน่าจะเกี่ยวกับยา แต่พอลองค่อยๆถอดออก แล้วเพิ่มตัว Depakine จนได้ระดับ ก็ยังชักถี่พอๆกับเดิม หลังๆหมอก็เลยว่า อาจจะเป็นที่ตัวโรคแล้ว คือ โรคลมชักมีลักษณะ Dynamic ยาที่เคยทานแล้วได้ผลดี กลับมาทานอาจไม่ได้ผลดังเดิม เนื่องจากลักษณะของโรคเปลี่ยนไป เช่นตามช่วงอายุ หรือ โรคที่เค้าเป็นอาจดื้อกับยา รู้สึกว่าพออยู่กับโรคนี้นานๆ อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน เหมือนโรคมันคอยหนีเราไปเรื่อยๆ เช่น ก่อนหน้านี้สัก 2 เดือน เค้ามักจะชักตอนนอน หมอก็เลยให้ Frisium มาทานก่อนนอนกลางคืน ทานไปซักพัก กลางคืนไม่ชัก กลับมาชักตอนนอนกลางวัน ก็เลยเพิ่ม Frisium ก่อนนอนกลางวัน ดักไว้ แต่สองครั้งหลังสุด ไม่ชักตอนนอนแล้ว อยู่ดีๆก็ชักตอนตื่นดีๆนี่แหล่ะ รู้สึกเหมือนต้องวิ่งตามไล่หลังมันไปเรื่อยๆเลยค่ะ

พอเริ่มชักบ่อย ก็เลยว่าจะซื้อเครื่องให้ออกซิเจนมาไว้ที่บ้าน แต่หมอบอกว่าไม่จำเป็น คือช่วงที่เค้าชัก ไม่ได้ขาดออกซิเจน หลายคนเข้าใจว่าขาด แต่ไม่ใช่  ไฟฟ้าจะทำให้ cell อ่อนล้า สมองเปลี้ย เหมือนถูกใช้งานเยอะ หากชักแบบแรงๆนานๆ cell ที่ถูก Spark จะตาย ซึ่งไม่ใช่ตายเพราะขาดออกซิเจน แต่ตายเพราะถูกไฟฟ้า Spark เยอะๆ แล้วในที่สุด Cell ก็จะเสื่อมสลายไป
การขาดออกซิเจน จะเกิดขึ้นเนื่องจากชักนานเกิน 20 นาที หรือเกิดเสมหะอุดตัน ซึ่งสังเกตได้จากการที่หน้าเขียว ฉะนั้น ระหว่างชักให้จับนอนตะแคง (ข้างซ้ายจะดีกว่า ประมาณว่าอยู่ข้างเดียวกับหลอดลม จะหายใจสะดวกกว่า) ถ้ามีเสมหะให้เคาะหลังหรือใช้ลูกยางดูดออกค่ะ

ระยะนี้นี้ชักบ่อย อีกเรื่องที่สังเกตเห็นก็คือ เวลานอนตามปลายนิ้ว หรือเท้าจะกระตุกๆ บ่อย ถามหมอแล้ว ว่าสัมพันธ์กับการชักหรือเปล่า หมอตอบว่า อาจเป็นได้ แต่ไม่ต้องไปกังวล ให้มามุ่งปรับยากันชักเพื่อหยุด Process การชักให้ได้ ไม่ใช่ว่าเห็นกระตุกปุ๊บต้องให้ยา (แต่ที่สงสัยตอนแรกก็คือ มันคือการมีคลื่นชักออกมาหรือเปล่า หรือว่า เกิดจากกล้ามเนื้อเกร็งจากการที่ชักบ่อย)

 
 
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 16:53 น.
หมอสรุปว่าน่าจะอยู่ในกลุ่มที่ดื้อยา แต่ทั้งนี้อาจจะมีการลองยาตัวที่ 4 ซึ่งได้มองยาไว้บ้างแล้วตามนี้ค่ะ

1.   Zonigren
2.   Topamax
3.   Lyrica
4.   Neurontin


อยากทราบ Side effect ของยาทั้ง 4 ตัวนี้ด้วยค่ะ รบกวนผู้รู้ตอบด้วย (เห็นน้องเนยทานอยู่ 2 ตัว)
เท่าที่ทราบคร่าวๆ Zonigren ทำให้ง่วง แล้วมีอย่างอื่นอีกมั๊ยคะ ส่วน Topamax เหงื่อไม่ออก ตัวร้อน น้ำหนักลด และไม่ทราบมีผลกับการเรียนรู้ในเด็กด้วยหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: NONG ที่ วันศุกร์ที่ 02 มีนาคม 2012 เวลา 23:12 น.
Paradoxical effect หมายถึงการที่คนไข้ทานยาแล้วให้ผลแตกต่างจากที่คนทั่วไปได้รับ หรือได้ผลตรงข้ามกับที่คาดหวังไว้

เช่นให้ยากันชักเพื่อให้ชักลดลง คนที่ผลตอบสนองต่อยาไม่ดีอาการชักอาจจะไม่ลดลง หรือลดลงเพียงเล็กน้อย แต่ในบางคนกลับมีอาการชักเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยากันชักนี้ แสดงว่าคนไข้มี Paradoxical effect  กับยาตัวนี้

ส่วนการเพิ่มยากันชักตัวใหม่เพื่อให้ไปเสริมยาตัวเก่าต้องการให้ลดอาการชักลง แต่เมื่อให้ยาใหม่ไปกลับทำให้มีอาการชักมากขึ้น ก็เรียก Paradoxical effect  เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าไปทำอะไรกับกลไกยาตัวเก่า หรือเพราะยาตัวที่ใส่ไปใหม่มีผลเอง หมอต้องเป็นคนพิจารณาดู คนไข้อาจใช้ยาได้ทั้งสองตัวแต่ใช้พร้อมกันไม่ได้ หรืออาจใช้ได้แค่ตัวเดียวก็ได้
หัวข้อ: Re: กังวลเรื่องลูกเปลี่ยนยาจาก depakine เป็น keppra
เริ่มหัวข้อโดย: nongtt ที่ วันเสาร์ที่ 03 มีนาคม 2012 เวลา 14:24 น.
ขอบคุณค่ะพี่น้อง