เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: พลังจิตใต้สำนึกกับการใช้ชีวิต  (อ่าน 1784 ครั้ง)

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
พลังจิตใต้สำนึกกับการใช้ชีวิต
« เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2012 เวลา 23:01 น. »
http://board.palungjit.com/f9/พลังจิตใต้สำนึกกับการใช้ชีวิต-341060.html

ในแต่ละวันเราต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ยามหลับ สมองก็ยังประมวลผลของความคิดที่เกิดขึ้นมาอยู่ทั้งคืน

ถ้าสมองเราไม่รู้จักกำจัดขยะส่วนเกินออก ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องที่มีเอกสารรกรุงรังเต็มไปหมด และในแต่ละวันก็ยังมีเอกสารใหม่ ๆ ส่งเข้ามาอีกมากมาย สมองจะเก็บรวบรวมเอกสารที่คิดว่าสำคัญไว้อย่างเป็นระบบ หมวดหมู่ จนมากพอมันก็จะบีบอัดข้อมูลแปลงเป็นไฟล์แห่งความรู้สึก แล้วส่งต่อไปเก็บที่ฐานข้อมูลส่วนลึกที่เรียกว่า จิตใต้สำนึก

ดังนั้น ถ้าในแต่ละวันเราคิดไม่ดี คิดลบอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลที่สมองรวบรวมแล้วส่งไปที่จิตใต้สำนึก ก็จะเป็นความรู้สึกลบ พลังแห่งความรู้สึกนั้นจะเข้มข้นกว่าความคิดมาก เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกบีบอัดมาจากความคิดนับพันนับหมื่นความคิด

ในแต่ละวันเราจึงต้องพยายามระวังคำพูดหรือความคิดที่มีความหมายทางลบแฝงอยู่ เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบขึ้นเล็ก ๆ ทุกครั้งที่พูด คิด หรือทำ และในที่สุดมันจะหล่อหลอมกันเป็นพลังแห่งความคิดรู้สึกลบ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลรุนแรงกว่าที่คาด

ความคิดไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกได้ การตัดสินใจของคนเราเกือบร้อยละเก้าสิบมาจากความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด พลังความรู้สึกสูงกว่าพลังความคิดมาก เพราะมันออกมาจากส่วนของจิตใต้สำนึก

ลองมาใช้พลังจิตใต้สำนึกกับชีวิตประจำวันกันดีกว่า

1. ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่น ๆ ได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ

2. ในแต่ละวัน คุณจะรับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของความคิดคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา พยายามกำหนดสติ คัดเลือกเฉพาะความคิดในทางบวกให้เข้ามามีอิทธิพลต่อคุณ

3. จงบอกตัวเองอยู่เสมอว่า คุณสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ ชีวิตเป็นไปตามพลังความรู้สึก แม้ว่าจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เป็นกรรมเก่าฝังอยู่ในภวังคจิตก็ตาม คุณก็สามารถใช้ความคิดซึ่งเป็นกรรมปัจจุบันไปเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกเกิดจากความคิดจำนวนมากที่มาหลอมรวมกัน ดังนั้นในแต่ละวันพยายามคิดดีอยู่เสมอ ย้ำซ้ำ ๆ ลงไปจนเกิดเป็นความรู้สึกใหม่ที่ดี ไปลบล้างความรู้สึกลบที่ผุดขึ้นมาจากภวังคจิต

4. การให้ คือ การเพิ่ม ไม่ว่าสิ่งที่ให้จะเป็นลบหรือบวก ถ้าให้ลบกับคนอื่น ลบในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณให้วิทยาทาน ให้ความรู้เป็นทาน ขณะที่คุณให้ จิตวิญญาณคุณก็จะเข้ามารับสิ่งนั้นด้วย ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด  ;D ยิ่งบริจาคยิ่งรวย  ;D

5. หากรู้สึกโกรธใครสักคน จงหมั่นคิดถึงเขาแต่ในทางดี ในที่สุดความรู้สึกโกรธจะหายไปเอง ความรู้สึกเป็นเรื่องของจิต แต่ความคิดเป็นเรื่องของสมอง คุณห้ามความรู้สึกไม่ได้ แต่ห้ามความคิดได้ ความคิดกับความรู้สึกแยกส่วนกัน ถ้ารู้สึกลบแล้วคิดบวก เหมือนน้ำที่ราดบนกองไฟ แต่ถ้ารู้สึกลบแล้วยังคิดลบ จะเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ

6. จงพยายามฝึกมองส่วนบวกที่ซ่อนอยู่ในลบ ฝึกจนเกิดความสามารถพิเศษ เพราะคนที่จะเป็นอัจฉริยะได้ต้องมีความสามารถพิเศษนี้ สิ่งลบ ๆ ที่เกิดในชีวิตประจำมีมากมาย พยายามใช้ปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ ในวิกฤติย่อมมีโอกาส คนคิดบวกจะเห็นบวกที่ซ่อนอยู่ในลบ แต่คนคิดลบจะเห็นแต่ส่วนลบแม้สิ่งนั้นจะเป็นบวก

7. จงจำไว้ว่า ทุก ๆ คนมีแก้วสารพัดนึกอยู่ในตัว เพียงแต่บางคนเท่านั้นที่สามารถนำมันขึ้นมาใช้ได้ เพราะต้องมีเคล็ดลับบางอย่าง ซึ่งเคล็ดลับนั้นก็คือ ขอ เชื่อ รับ ของกระบวนการในเดอะซีเคร็ตนั่นเอง

8. ถ้าคิดลบต่อเหตุการณ์ใด จะดึงดูดให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง คุณจึงเห็นคนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง นั่นเป็นเพราะยังไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงวิธีคิด

 :) :)
ถ้าถามต่ายว่า ต่ายคุมชักได้อย่างไร ในเมื่อ คลื่นชักมากขนาดนั้น  ต่ายไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เพราะตอนที่ตรวจคลื่นชัก ต่ายเองยังตกใจไม่น้อย   (ต่ายเองก็ไม่ได้รู้จากตำรา หรือมีใครสรุปให้มาก่อน   ตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องศาสนาก็ว่าได้)
 
        " ความคิดมาแรงดึงดูด" นี้ สามารถอธิบายลงได้ลึกเข้าไปอีก ในหน้งสือ เดอะท๊อปซีเคร็ต
ในเชิงของพุทธ เข้าใจมากกว่า แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ปฎิบัติธรรมได้ถึงอภิญญาก็ตาม

หรือการลดฟริเซี่ยมครั้งนี้(ครั้งที่ 2)  แล้วยังคงไว้ที่ 1เม็ดต่อวัน (จากเดิม 4 เม็ดต่อวัน)  อธิบายกันเป็นตัวหนังสือ คงต้องไม่พ้น เดอะท๊อปซีเคร็ต (น่าจะเข้าใจมากขึ้น) และกระทู้ http://www.lomchakclub.com/v9/index.php/topic,545.0.html  ที่กล่าวอธิบายคลื่นสมอง 4 กลุ่มใหญ่ๆ
.....ส่วนลึกลงไปอีก ต่ายเองก็ได้แต่คุยกับญาติธรรม ยังไม่ตัดสินในโพสต์อัพกระทู้ตัวเองเสียที...เพราะกลัวเข้าใจผิด ตีความหมายกันผิดไป เพราะที่นี่ไม่ใช่บอร์ดศาสนา

ฝากไว้แทนว่า  การฝึกรับรู้ลมหายใจ นี้เป็น แบบฝึกหัดเริ่มต้นแบบง่ายๆ ในขณะที่การฝึกรับรู้อารมณ์จะยากกว่า แต่ถ้าเราฝึกตัวรู้เรื่อง ลมหายใจ ได้ก็เสมือน ได้พัฒนาช่องทางการรับรู้อื่นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา(อานาปานสติภาวนา) โยคะ ซี่กง จึงเน้นความสำคัญเรื่อง การฝึกลมหายใจเหมือนกัน
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

 


Powered by EzPortal