ขอเล่าบ้างครับ
ตอนนี้น้องเทรนด์ยกให้เป็นลูกสมเด็จโต พรหมรังสี แล้วครับ
แล้วช่วงวันพระเมื่อก่อนก็มักมีอาการเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้ไม่มีอาการแล้วครับวันพระ
ก็พยายามใส่บาตรทำบุญทุกวัน วันพระก็สวดมนต์หน้าองค์พระ เปลี่ยนดอกไม้ เปลี่ยนน้ำ
ไหว้เจ้าที่ และก็กรวดน้ำด้วย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ก็พึ่งไปปล่อยปลาดุกมา 9 ตัว ที่วัดเทวราชกุญชร
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=643.0ดูตาม link นี้ก็ได้ครับ ภาพวัด แล้วก็ภาพล่างสุดก็เป็นสถานที่ปล่อยปลาครับ
ปลาเยอะมากตรงท่าตรงนั้น ตอนปล่อยก็โทรไปสั่งปลาดุกในตลาดมาครับ
มีเด็กวิ่งเอามาส่งให้ ที่นั่นมีคำกล่าวก่อนปล่อยเป็นกระดาษให้อ่านกัน
ก็อ่านกันทั้งพ่อแม่ลูก
ส่วนเรื่องผู้ที่อยากบวชแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์
ผมขอเสนอวัดชลประทานรังสฤษดิ์ครับ
เพราะพระครูสมชาย (พระครูธรรมธร สีลธโร) เป็นพระที่คอยสอนพระบวชใหม่
และเป็นพระที่คอยสกีนผู้ที่มาบวชที่วัดนี้ครับ
ตอนสกีนก็มีถามหลายอย่าง ซึ่งบางท่านก็ไม่ได้บวช
อาจจะเพราะเหตุผลบางอย่าง เช่น บางคนเท่าที่เคยฟังมา คิดว่าน่าจะทะเลาะกับพ่อมาก่อน
ซึ่งยังไม่ได้ขอพ่อมาบวช ท่านก็ไม่ยอมบวชให้
บางท่านท่าทางดูแล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจ ท่านก็ต้องคุยหลังไมค์ เป็นการเฉพาะ
แล้วก็ต้องท่องบทสวดตามหนังสือให้ได้ กี่หน้าก็แล้วแต่พระท่านจะกำหนดสอบมา
ซึ่งผมคิดว่า เท่านี้ก็จะได้คนดีเข้าไปอยู่ในร่มกาสาวพัตร์แล้วครับ
ที่นี่ผมก็ขอการันตีเลยว่า ดีครับ
ส่วนวัดอื่นผมไม่เคยได้สัมผัสก็เลยไม่ขอกล่าวถึงครับ
ช่วงนี้น้องเทรนด์ดีขึ้นมากครับ
ผมพาไปกระตุ้นพัฒนาการด้วย ตอนนี้ขากับแขนเริ่มแข็งแรงขึ้นมาบ้างแล้ว
เดิมเวลาจับยืนเล่น จะไม่เคยยกขาทีละข้างเลย วันนี้น้องยกขาข้างเดียวโชว์ให้ดู ดีใจสุดๆ
มีความรูํ้สึกว่า เขาอาจจะเริ่มคลานและเดินในอีกไม่นาน
อ้อ ขอแทรกนิดนึงครับ
คือว่า ครั้งล่าสุดที่เข้า Admit
ผมได้ห้องเตียงคู่ แล้วก็สังเกตอย่างหนึ่งว่า น้องๆที่มาเตียงข้างๆ
คุณพ่อคุณแม่เขาจะมีพวงมาลัยมาไหว้ที่หัวเตียงครับ
ผมก็พึ่งเห้น หลังจากนั้น ก็เลยนำพวงมาลัยมาไหว้เหมือนกันครับ
ยังไงก็ขอให้สวดมนต์ไหว้พระทุกวันน๊ะครับ
ผมมีแนะนำนิดนึงครับ
พอดีผมไปเจอ mp3 คำเทศของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ผมประทับใจมาก พึ่งฟังได้อาทิตย์กว่าๆรู้สึกดีมากเลย
ครั้งแรกที่ฟังเพราะ อ่านหัวข้อแล้วอยากรู้
เรื่องที่ท่านเทศน์ก็คือ เมื่อข้าพเจ้าตาย
ซึ่งเป็นการเล่าการตายทั้ง 7 ครั้งของท่าน
หลังจากนั้นก็เริ่มฟังเรื่องอื่นๆ
ตอนนี้กำลังฟังเรื่อง จริต 6
ซึ่งมารู้ภายหลังว่า ท่านอัดเทปถวายในหลวง
ขอเล่าย่อๆนิดนึงครับ เผื่อใครอยากจะฟัง
คือเมื่อหลวงพ่อท่านเป็นเด็ก คุณพ่อคุณแม่ท่านจะสอนอยู่เสมอให้ท่านภาวนาว่า พุธโท อยู่เป็นประจำ
เมื่อท่านตายครั้งแรกอายุประมาณ 14 ปี ที่บ้านท่านคุณแม่จะเป็นคนมีระเบียบ
เวลากลับมาบ้าน ก็ให้ไหว้พระก่อนไหว้พ่อแม่ เวลาจะไปก็เหมือนกัน ต้องไหว้พระก่อน
จะไปไหนมาไหนก็ต้องบอกกล่าวขออนุญาตก่อน
วันนั้นท่านปวดท้องมาก คุณแม่ท่านนำรูปพระพุทธรูปมาให้มอง
ท่านก็บอกว่ามันสวยมาก ท่านก็มองไปจนท่านไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
หลังจากนั้นสายตาที่เคยเห็นปกติ ก็เริ่มมองไม่เห็นแล้ว เริ่มสั้นเข้ามาๆๆๆ เรื่อยๆจนไม่เห็นอะไรเลย
ไม่นานรูปพระนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นพระสง่าสวยงามมากเดินมาที่ท่าน
ผมจำไม่ได้ว่าบอกอะไรกับท่าน
ท่านบอกว่าตอนนั้น ท่านรู้สึกเบาสบายมาก หัวท่านสวมชฏา ด้วย ชุดก็เหมือนมีเครื่องประดับ
ตอนนั้นท่านทราบแล้วว่าท่านตายไปแล้ว ด้วยความเคยชินท่านก็จะไปขอคุณแม่ท่านลงไปข้างล่าง
ขอใครก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น ท่านก็เลยเดินลงไปตรงชานหน้าบ้าน เห็นคนเดินมาเป็นกลุ่มใหญ่
ประมาณ 200 คนได้ แล้วก็เห็นมีคนคุมมา 4 คน คือ หน้า หลัง ด้านข้างซ้ายขวา
ท่านก็เดินไปดู เห็นคนคุมอยู่ มองท่านตั้งแต่หัวจรดเท้า
ท่านก็สงสัยว่ามองทำไม มองอยู่สักครู่หนึ่ง ท่านก็เลยถามว่ามองท่านทำไม
แล้วท่านก็ถามต่อไปว่า น้าจะไปไหนกัน น้าก็บอกว่าจะพาคนเหล่านี้ไปนรก
เมื่อท่านมองเข้าไปก็เห็นคนที่ท่านรู้จักอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย จึงถามว่าคนนั้นเป็นคนดี ทำไมจึงพาไปนรก
น้าผู้คุมจึงบอกว่า ภายนอกดี แต่ภายในไม่ได้เป็นเช่นนั้น จะดูแต่ภายนอกไม่ได้
ด้วยความที่ท่านเป็นคนชอบค้นหาชอบพิสูจน์ จึงขอตามไปดูด้วย
น้าผู้คุมบอกว่าไปไม่ได้ เพราะไม่มีชื่อในบัญชี
จึงพากลับไปส่ง แต่ท่านก็ยังตามไปดูให้รู้ว่าไปไหนกัน จนผู้คุมแต่ละคนก็ต้องวิ่งกลับมาสิ่งที่บ้าน
ท่านจึงแอบตามไปแบบไม่ให้รู้ ก็ขึ้นเขาลงเขาหลายลูก โดยที่ท่านไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
ท่านบอกว่า ท่านขอบแบบนี้ เบาสบายไม่เหนื่อย จนไปถึงปากทางนรก
ท่านจึงเดินไปหาน้า ให้น้าพาไปดู น้าบอกว่า ท่านเข้าไปไม่ได้ เพราะว่า หนูเป็นพรม มีชฏา สวมชุดอย่างนี้
ถ้าเข้าไป ไฟนรกจะดับ น้าผู้คุมจึงบอกว่า กลับบ้านเถอะ ท่านก็บอกว่า กลับไม่ได้ จำทางก็ไม่ถูก
แล้วจะมาหาน้าอีกได้ไหม น้าผู้คุมก็บอกว่า ได้ ให้ภาวนาว่า พุธโท แล้วก็จะมาเจอกันได้ตลอดเวลา
จึงให้ผู้คุมคนท้ายพากลับไปส่งที่บ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้ว ท่านก็รู้สึกตัวขึ้นมา พอดีลุงท่านเป็นพระรู้ว่าท่านยังไม่ตาย ก็ยังไม่ให้ทำอะไรกับท่านทั้งนั้น
ท่านจึงยังอยู่ได้
ประมาณนี้ครับ แต่ถ้าฟังเองแล้วผมว่าสนุกครับ ได้อะไรเยอะครับ
ตอนนี้ผมฟังเรื่องจริตอยู่ ก็รู้สึกดีครับ
ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(พระมหาวีระ ถาวโร หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช
อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด
พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่
พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"
พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
มรณภาพตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.
ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ
ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล , สร้างโรงเรียน , จัดตั้งธนาคารข้าว , ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร , ยา , อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ
ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย , วาจา , ใจ , ในทาน , ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรม เทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี
ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก , หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร
ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า , อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน , การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ , การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย , การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน , การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ
นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง