เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: อานิสงส์การทำบุญ  (อ่าน 22236 ครั้ง)

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
อานิสงส์การทำบุญ
« เมื่อ: วันเสาร์ที่ 03 กันยายน 2011 เวลา 13:04 น. »
อานิสงส์การรักษาอุโบสถครึ่งวัน

คนตัดฟืนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

                        ในสมัยพระพุทธเจ้ามีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง  มีนามว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี  บ้านนั้นเวลาวันพระ  ทุกคนในบ้านนั้นต้องรักษาอุโบสถ  ปรากฎว่ามีวันหนึ่งเป็นวันพระ  มีคนจนคนหนึ่งเข้ามาจะเป็นลูกจ้างของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  ท่านก็ถามว่า  เธอทำงานอะไรได้บ้าง  เขาก็บอกว่า  ทำทุกอย่างตามที่ท่านจะใช้  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่า  งานอย่างอื่นมีเจ้าหน้าที่เต็มหมดแล้ว  ที่ยังมีงานพร่องอยู่ก็คือคนตัดฟืน  เพราะที่บ้านนั้นต้องเลี้ยงคนมาก เลี้ยงพระมาก  ต้องตัดฟืนมาหุงข้าว เธอก็ยอมรับ  หลังจากนั้นเธอกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ถือขวานเข้าป่าไปตัดฟืน  ตัดฟืนแล้วกลับมาตอนเย็น

                        พอถึงตอนเย็นก็ปรากฎว่า  คนที่บ้านนั้นเงียบสงัดไม่มีเสียงเอะอะโวยวายเหมือนตอนเช้า  ตอนเช้าต่างคนก็ขอข้าว ฉันขอข้าวฉันขอแกงฉันขอกับ ฉันต้องการอย่างนั้น ฉันต้องการอย่างนี้  แต่ว่าตอนเย็นสงบสงัดหมด  เธอก็เข้าไปที่ครัว  พอเข้าไปถึงโรงครัว  แม่ครัวก็จัดอาหารเฉพาะเธอ  ถ้าพิจารณาแล้ว กินก็เหลือนิดหน่อยให้  เธอก็ถามว่า วันนี้ทุกคนในบ้านเขากินข้าวกันหมดแล้วหรือ  เห็นเงียบไป  ตอนเช้าเอะอะโวยวาย  แม่ครัวก็บอกว่า  วันนี้เป็นวันพระ  ที่บ้านนี้ทั้งหมดทุกคนวันพระต้องรักษาอุโบสถ  แม้แต่เด็กที่กำลังกินนมอยู่   ท่านมหาเศรษฐียังให้บ้วนปาก และกินน้ำผึ้งหรือนมใสข้นแทน

                        และนายคนนั้นก็ถามว่า  อุโบสถเป็นอย่างไร  แม่ครัวก็บอกว่า  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  ฉันนี่ไม่รู้เรื่องหรอก  ถ้าอยากจะรู้ก็ไปถามท่านมหาเศรษฐีก็แล้วกัน  ท่านมหาเศรษฐีสั่ง  ทุกคนก็ทำตามสั่ง  แต่ความรู้ไม่มี  เขาอาจจะพอรู้บ้างแต่ว่าไม่กล้าอธิบาย  ชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านมหาเศรษฐี  ท่นก็แนะนำว่า  อุโบสถศีลมีสิกขาบท 8 คือศีล 8 นี่แหละ  แต่รักษาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง  เขาเรียกว่าอุโบสถศีล  ตอนเย็นจะสมาทานได้ไหม  ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า  ถ้ารักษาเต็มวันไม่ได้  รักษาครึ่งวันก็ใช้ได้  เขาก็สมาทานอุโบสถศีลกับท่านมหาเศรษฐี  ท่านมหาเศรษฐีก็แนะนำว่า  อุโบสถศีลมีอย่างนี้นะ  มี  8  ข้อนะ  ก็ว่ากันตามศีล  8

 

บุญที่ทำให้เป็นรุกขเทวดา

 

                        หลังจากนั้น  ก็เป็นการบังเอิญ  เมื่อเขาสมาทานศีลแล้ว  เขาก็ไม่ได้กินข้าวเย็น  เขากินแต่ข้าวเช้าและกินข้าวกลางวันที่ห่อไป  งานตัดฟืนมันก็หนักแต่เขาไม่ได้กินข้าวเย็น  เขาก็มานอนที่พัก  พอตกดึกเข้าลมมันก็เกิด  ลมดันขึ้นมา  มีอาการจุกอาการเสียดมาก มีคนมารายงานท่านมหาเศรษฐี  ท่านมหาเศรษฐีก็ไปแนะนำ  นำอาหารที่มีรสเลิศ  5   อย่างไปให้กิน  บอกกินเสียเถอะ  วันอื่น ๆ ยังมีอยู่  วันนี้ไม่เป็นไร  ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ วันอื่นยังรักษาได้  ชายคนนั้นก็ใจเด็ด  เขาบอกว่า  ความดีเต็มวันผมทำไม่ได้  แต่ผมรักษาได้แค่ครึ่งวัน  ถ้าผมจะตายเพราะว่าความดีครึ่งวัน ผมยอมตาย ไม่ยอมกินอาหาร  ท่นมหาเศรษฐีจะแค่นเท่าไร  เขาก็ไม่ยอมกิน  หลังจากนั้นมาท่านมหาเศรษฐีก็จำต้องกลับ  ถึงเวลารุ่งขึ้นเขาตายพอดี  ตายเพราะกำลังใจที่พอใจในอุโบสถศีล  เป็นอันว่าบุญในโอกาสที่เขาทำได้  ทำคราวนั้นคราวเดียว  เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นรุกขเทวดา

                        ในเวลานั้นก็ปรากฎว่ามีฤาษี  60  ท่าน  ตั้งใจจะไปบ้านท่านมหาเศรษฐี  มีโฆษกเศรษฐีเป็นต้น  ซึ่งเขาอาราธนาไว้ว่า  ถ้าเวลาหน้าแล้ง  ขอให้ไปรับภัตตาหารที่บ้านเขา  เขาจะเลี้ยงฤาษี  60  คนนี่นะ  แต่ท่านไม่ได้อภิญญา  ฤาษี  60  ท่านนี่ก็ไป  ไปถึงต้นไม้ใหญ่มีพุ่มใหญ่  ก็คิดว่าต้นไม้นี่มีพุ่มใหญ่มีเงาดี  เรานั่งพักสักครู่หนึ่งดีกว่า  พอนั่งพักไปสักครู่หนึ่ง  หัวหน้าฤาษีก็มีความรู้สึก คือท่านไม่ได้ทิพจักขุญาณ  แต่มีความรู้สึกคิดว่า  ต้นไม้นี้อาจจะมีรุกขเทวดาที่มีบุญมาก  เพราะต้นไม้มีพุ่มใหญ่เหลือเกิน  จึงนึกในใจว่า เวลานี้เราเดินมาเหนื่อย  และมีความกระหายน้ำ  ถ้าหากว่ารุกขเทวดาจะเมตตาเรา  บันดาลน้ำที่สะอาดให้เรากินก็จะดี  เทวดาก็บันดาลน้ำให้กิน

                        ต่อมาเธอก็คิดว่า  แหม...เราเดินมาไกล มันร้อน  ถ้ามีสระอาบน้ำได้ก็ดี เทวดาก็บันดาลสระอาบน้ำให้อาบ  เมื่อความประสงค์ของฤาษีเป็นไปตามความประสงค์ ท่านก็คิดว่า  เทวดาองค์นี้ต้องมีอานุภาพมาก  ฉะนั้น  จึงขอร้องด้วยวาจาว่า  ขอเทวดาผู้มีคุณแสดงตัวให้ปรากฎ  เทวดาก็แสดงตัวให้ปรากฎ  ท่านก็ถามบอกว่า  ท่านรุกขเทวดา  ท่านมีบุญญานุภาพมาก  ข้าพเจ้าต้องการอะไร  ท่านก็บันดาลให้ได้ทุกอย่าง  และเวลานี้ก็เห็นวิมานของเทวดาด้วย  เทวดาให้เห็นตัวด้วย เห็นวิมานด้วย  วิมานท่านก็ใหญ่โตมโหฬารสวยสดงดงาม  ตัวท่านก็มีความสง่า  มีเครื่องประดับดี  มีแสงสว่างมาจากกาย  อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์  ท่านทำบุญอะไรไว้  พอท่านฤาษีถามอย่างนี้เทวดาก็อาย  เทวดาก็บอกว่า  อย่าถามผมเลยขอรับ  ผมอายเหลือเกิน  เพราะบุญผมน้อย  ในเมื่อฤาษีคะยั้นคะยอหนักเข้าขอร้องมากขึ้น หนักขึ้น  เทวดาก็ยอมบอก  ตอบว่า  ผมมีบุญน้อย  เป็นรุกขเทวดาเพราะรักษาอุโบสถครึ่งวัน  ตามเรื่องราวที่ได้กล่าวมาแล้ว

 

                                                                   ****************




 
อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย


เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

                        ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมา  ในเรื่องของเณรสุบิน  ท่านกล่าวว่า  เณรสุบินคนนี้ปรากฎว่าบิดามารดาเป็นพราน  แต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคติไม่ตรงกัน  พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ  แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลในพระพุทธศาสนา  หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร  เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน

                        ต่อมา  เมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง  พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคน  ด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล  พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ  คือเชิญไปในขุมนรก  เชิญไปในสำนักพระยายม  ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า  ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง  แกก็รับทุกอย่างว่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ ก็ปรากฎว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก  เขาจึงนำไป  เมื่อนำไปแล้ว  ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด  เมื่อเข้าเขตของนรกแล้ว  ก็ต้องลงขุมได้ทันที

                        แต่ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้  นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก  ก็ปรากฎว่ามีหวายใหญ่มารองรับ  เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้  ไม่ตกลงไปในนรก ทำอย่างนี้ถึง 3 วาระ  คนทั้งสองลงนรกไม่ได้ เพราะอะไร  เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ  ก็คิดขึ้นมาในใจว่า  แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย  เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก  เณรก็ไม่สึก  เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น  จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ  เพราะไปบางตอนมันมีสีเหลือง  จิตคิดเป็นอย่างนี้  เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้  นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายม

                        พระยายมก็สอบถามว่า  ?กรรมใดที่เป็นกุศลนะ  ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ?

                        สำหรับบิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า  ?กรรมใด ๆ ที่เป็นกุศล  ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยทำ  มีอย่างเดียวคือมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อสุบิน  เธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่ว  สอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เธอก็ไม่ทำ  ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา?

                        เป็นอันว่า  พระยายมก็ทราบว่านี่บุญลูกชายบวชเณร  ท่านจึงกล่าวว่า ?ในเมื่อลูกชายบวชเณร  เราสอบสวนในตอนก่อนทำไมเจ้าจึงไม่บอก?

                        บิดามารดาของสามเณรบอกว่า  ?นึกไม่ออก  เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้  บังใจไม่ให้นึกถึง?

                        เป็นอันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้น  จึงได้กล่าวว่า  เพราะอำนาจกุศลที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา  จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้  ฉะนั้น  ท่านจงได้รับผลของกรรม คือความดีต่อไป  ก็หมายความว่าไปเกิดบนสวรรค์

                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สำหรับพระสูตรนี้ความจริงยาวมากกว่านี้  เวลามันมีจำกัด  ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แสดงให้เห็นว่า  ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดี ในพระพุทธศาสนา  แม้ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบ  ท่านก็มีอานิสงส์มาก  จะนั่งเทศน์ถึงอานิสงส์ถามกันไปตอบกันมาสิ้นเวลา 1 กัป  ก็ไม่จบ  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระนราสภจึงได้ทรงสรุปไว้ว่า ?การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา  ย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน?

                        บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ย่อมทราบดีว่าการอุปสมบทบรรพชานี้มีอานิสงส์มาก  แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นสามัญผล  คือเป็นผลที่เสมอกัน คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้  ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และสามารถที่จะกำหนดจิตปฏิบัติสมถกรรมฐาน  วิปัสสนากรรมฐานได้เสมอกัน  ฉะนั้น  จึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก

                        ในที่สุดนี้  อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน  อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนา ทั้งสามประการ  ขอจงบันดาลให้บรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว  จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง  4  ประการ  มีอายุ  วรรณะ  สุขะ  พละ และปฏิภาณ  หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด  ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นจงสมความปรารถนาทุกประการ

 

                                                               *****************

 



อานิสงส์การทำบุญด้วยแสงไฟ (พระอนุรุทธ)

 

อานิสงส์การทำบุญด้วยแสงไฟ

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

 

                        นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

                        อัตตา หิ  อัตตโน  นาโถ     โก หิ นาโถ ปโร  สิยา

                        อัตตา  หิ  สุทันเตนะ           นาถัง  ลภติ  ทุลลภัง  ตีติ                     

 

                        ณ  โอกาสบัดนี้  อาตมาจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา  ในความเป็นมาของพระอนุรุทธ  เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองค์ศรัทธาบารมี  แก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  ที่มาบำเพ็ญกุศลในวันนี้ 

                        สำหรับวันนี้  ตรงกับวันที่  14  กรกฎาคม  2535  เป็นวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8  เราก็เรียกกันว่าวันจะเข้าพรรษา  บางวัดก็เข้าพรรษาวันนี้  บางวัดก็เข้าพรรษาวันพรุ่งนี้  แต่สำหรับวัดท่าซุงเข้าพรรษาวันนี้  เป็นอันว่าวันนี้  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ทำบุญมีอานิสงส์  2  ประการด้วยกัน  คือ

                        1.  ถวายเทียนเข้าพรรษา

                        2.  ถวายผ้าไตร  หรือผ้าวัสสิกสา แก่บรรดาพระสงฆ์

                        ทั้งสองอย่างนี้มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างแรก  ถวายเทียนเข้าพรรษาจะเทศน์วันนี้  สำหรับอานิสงส์ถวายผ้าไตรจะเทศน์วันพรุ่งนี้ ถ้าวันนี้ไม่จบ

 

พระอนุรุทธ

 

                        เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่  ณ  เชตวันมหาวิหาร  องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปรารภพระอนุรุทธ ความจริงพระอนุรุทธนี่เป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อนุชานะไม่ใช่อาชานะ  อนุชานี่เขาแปลว่าน้อง  อาชาแปลว่าม้า  เป็นน้องพระพุทธเจ้า คือว่าเป็นลูกของอา  ในตระกูลมีอยู่  2  คน  คือ  ท่านมหานาม  1  สอง พระอนุรุทธ

                        ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว  ท่านท้าวมหานามก็ปรารภกับน้องชายว่า  เวลานั้นท้าวมหานามเป็นพระมหากษัตริย์  ตระกูลอื่นเขาก็มีคนบวชกันหมดแล้ว  ตระกูลของเรายังไม่มีใครบวช  ถ้ายังงั้นขอให้น้องเป็นพระราชาต่อไป  พี่จะบวช  พระอนุรุทธก็บอกว่า  การเป็นพระราชาทำยังไง  เวลานั้นพระราชาต้องทำนาเหมือนกัน  ก็ต้องเลี้ยงทหาร  เขาบอกว่า  ตอนต้นปีก็ไถนาแล้วก็หว่าน  พอปลายปีก็เกี่ยวข้าวเอาเข้าฉาง  ต้นปีไถนาแล้วก็หว่าน  ปลายปีเกี่ยวข้าวเข้าฉาง  แบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต พระอนุรุทธถามว่า  ไอ้การทำนานี่ไม่มีการเลิกรึ  ท่านมหานามบอก เลิกไม่ได้  พระอนุรุทธก็บอกว่า  ถ้ายังงั้นพี่อยู่เถอะฉันบวชเอง  ก็ไปชวนเพื่อนอีก 4 คนบวช

 

เป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ

 

                        เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ปรากฎว่า  พระอนุรุทธเจริญพระกรรมฐานไม่ช้าไม่นานนัก  วันเข้าพรรษาวันนี้ก็ได้บรรลุอรหัตถผลพร้อมไปด้วยทิพจักขุญาณ  เป็นพระวิชชาสาม ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งพระอนุรุทธเป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ  นั่นหมายความว่า  พระอรหันต์นี่มี 4 ขั้น  ตัดกิเลสได้เหมือนกัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน คือ

                        1.  สุกขวิปัสสโก  ตัดกิเลสได้ แต่ไม่มีจิตเป็นทิพย์  ไม่สามารถเห็นผี นรก สวรรค์ ได้

                        2.  เตวิชโช  อย่างนี้สามารถมีจิตเป็นทิพย์  เห็นสวรรค์ได้ นรกได้ เปรตได้ อสุรกายได้ เห็นอะไรก็ได้ และสามารถระลึกชาติได้

                        3.  ฉฬภิญโญ  สำหรับหมวดนี้เหาะเหินเดินอากาศได้  แปลงได้  เนรมิตได้

                        4.  ปฏิสัมภิทัปปัตโต  ปฏิสัมภิทาญาณ  มีความฉลาดมาก

                        ฉะนั้น  สำหรับพระอนุรุทธเป็นพระอรหันต์ขั้นวิชชาสาม  แต่ความจริงพระอรหันต์ขั้นวิชชาสามนี่ความจริงต้องอ่อนกว่าทุกอย่าง  อ่อนกว่าฉฬภิญโญ  ฉฬภิญโญก็คืออภิญญาหก  แต่ว่านี่ท่านเข้มแข็งในด้านทิพจักขุญาณ  จะพิสูจน์ในสมัยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านิพพานเวลานั้น เวลาที่พระพุทธเจ้านิพพาน  พระอนุรุทธเข้าฌานตาม  พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ไม่สามารถจะเข้าฌานตามได้  ไม่รู้จิตใจของพระพุทธเจ้าว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน  แต่สำหรับพระอนุรุทธติดตามได้

                        พระอานนท์เข้าไปสะกิดถาม  หลวงพี่  เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน  ไปนิพพานหรือยัง  ในขณะที่ท่านจะเข้านิพพานท่านเข้าสมาธิเต็มที่  ไอ้การเข้าสมาธิเต็มที่นี่ บรรดาพุทธบริษัทบางทีเขานึกว่าหัวใจหยุดเต้น  ความจริงไม่หยุด  มันเต้นเบาลมหายใจน้อย บางคนคิดว่าไม่มีลมหายใจ  ท่านก็บอกว่า  เวลาที่พระพุทธเจ้าอยู่ที่ฌาน 1 บ้าง  ฌาน 2 บ้าง  ฌาน 3 บ้าง  ฌาน 4 บ้าง  ในอรูปฌานบ้าง  แล้วเลื่อนมาในฌาน 4 ของรูปฌาน นิพพานตอนนั้น

                        นี่จะเห็นว่าพระอนุรุทธชื่อว่าเป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ  เลิศจริง ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร  เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า  กล่าวถึงประวัตินะ ตอนนี้ยังไม่นิพพาน  ท่านบอกว่า  พระอนุรุทธนี่ในสมัยชาติก่อนชอบทำบุญด้วยแสงไฟ

                        ก็อย่างที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย บูชาเทียนเข้าพรรษานี่แหละ บูชาเทียนเข้าพรรษาบ้าง  ช่วยค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง  ช่วยน้ำมันตะเกียงบ้าง  อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องให้เกิดแสงไฟ  ให้เกิดแสงสว่างขึ้น  พระอนุรุทธชอบทำอย่างนี้  ทุกวาระถึงปีถึงเวลาเข้าพรรษาก็นำเทียนเข้าพรรษาถวายตามวัด  วันละหลาย ๆ วัด  เป็นการบูชาให้แสงสว่าง  ฉะนั้น มาชาติหลังสุด  อานิสงส์ถวายเทียนเข้าพรรษา  แสงไฟ  จึงได้ทิพจักขุญาณเป็นเลิศกว่าพระอรหันต์ทุกองค์   นี่เป็นประวัติตอนท้ายนะ  ประวัติของพระอนุรุทธนี่มีหลายตอน  จะขอตัดเป็นตอน ๆ

                                                              *****************




อานิสงส์เวลาทำบุญภาชนะทุกอย่างต้องสะอาด (พระนางรูปนันทาเถรี)

 

 

พระนางรูปนันทาเถรี

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

 

                        นะโม  ตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

                        อัปปมาเทนะ  สัมปาเทถาตีติ

                        ณ  โอกาสบัดนี้  อาตมาภาพจะได้แสดงพระสัทธรรมเทศนาในเรื่องราวปุพพคาถา อันเป็นเครื่องโสรสสรงองค์ศรัทธาบารมี  ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลายได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์  คือวันขึ้น 15  ค่ำ เดือน 10  ซึ่งตรงกับวันที่ 2 กันยายน 2525  วันนี้  การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจบำเพ็ญกุศลบุญราศี เนื่องจากทานมัย คือบุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน  สีลมัย  บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย  คือตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา  อันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  วันนี้ทุกคนต้องการความสุขคือพระนิพพาน  ฉะนั้น  วันนี้ อาตมาภาพได้นำพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องราวของพระนางรูปนันทาเถรี  ความมีอยู่ว่า

 

พระเจ้าปเสนทิโกศล

 

                        เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงประกาศพระพุทธศาสนา  พระองค์มีความสนิทสนมกับพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์เป็นอันมาก  ทราบข่าวว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกรุงพาราณสีมากกว่าทุกประเทศ คือประเทศนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีเสด็จไปถึง 25 ครั้ง  สำหรับประเทศอื่น ๆ เสด็จไปน้อยกว่านั้น  แต่ทว่าปรากฎในกาลไม่นานนัก  อัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์   คือพระนางมัลลิกาเทวีถึงแก่สิ้นชีพิตักษัย  ฉะนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลปรารถนาใคร่จะได้มีความใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามากขึ้น  จึงได้ไปขอสตรีในราชนิกูลของกรุงกบิลพัสดุ์มหานครซึ่งเป็นหลาน  จะกล่าวกันไปก็เป็นน้องสาวขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  คือเป็นลูกของพระเจ้าอา  ชื่อว่ารูปนันทาเทวี

                        ครั้นเมื่อนางได้เข้ามาอยู่ในสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่แล้ว  ปรากฎว่าเธอเป็นคนสวยมาก ยากที่จะมีสตรีอื่นเทียบทันได้  แต่ทว่าได้ทราบข่าวว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระเชษฐา เทศน์ทรงตำหนิความสวยของร่างกาย  ฉะนั้น  พระนางนี้จึงไม่ตั้งใจคือไม่สนใจจะสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมากรุงพาราณสีแต่ละคราวนาน ๆ จะมาสักทีหนึ่ง  เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นเวลา  45  ปี  แต่ก็มีโอกาสพักที่กรุงพาราณสีเพียง  25  ครั้ง เป็นอันว่าไม่ได้มาทุกปี

 

ไม่ยอมไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

 

                        ฉะนั้น  ขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ เสด็จประทับยับยั้งสำราญอิริยาบทปรากฎอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล  พระเจ้าปเสนทิโกศลและบรรดาประชาชนทั้งหลาย  ต่างคนก็ต่างไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นปกติ  เพื่อสดับพระธรรมเทศนา  แต่ทว่าพระนางรูปนันทาไม่ยอมไปด้วย  พระเจ้าปเสนทิโกศลจะช่วยชักชวนแนะนำประการใดก็ดี  พระนางนี้ก็ไม่ยอมไป  ที่ไม่ยอมไปก็เพราะว่า ไม่ได้โกรธพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกว่า ตัวท่านเป็นคนที่มีความสวยสดงดงามมาก  ยากที่จะมีบุคคลใดเทียบเท่าได้  แต่ทว่าองค์สมเด็จพระจอมไตร  ข่าวว่าอย่างนั้นว่า พระพุทธเจ้าทรงตำหนิรูปสวยหรือรูปคนว่าไม่ดี  พระนางนี้จึงไม่ยอมไป

                        ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ให้คนแต่งกลอน  เป็นกลอนพรรณนาถึงพระราชอุทยาน  ว่ามีความงามเสมอด้วยสวนสวรรค์  และให้นางกำนัลขับร้องกล่อมให้พระนางรูปนันทาฟังทุกวัน  พระนางรูปนันทาก็สงสัยถามเธอเหล่านั้นว่า  การที่เธอขับร้องกันอยู่นี่  อยากทราบว่ามันเป็นสวนที่ไหน  หญิงทั้งหลายเหล่านั้นก็กราบทูลว่า  สวนของพระเจ้าแม่เองพระเจ้าค่ะ  สวยสดงดงามเหลือเกินเวลานี้  นับตั้งแต่องค์สมเด็จพระมหามุนีพร้อมด้วยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายมาพัก  พระเจ้าปเสนทิโกศลพระบาทท้าวเธอให้จัดการให้สวยสดงดงามเป็นพิเศษ  มาวันรุ่งขึ้นเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  แต่ว่าอยากจะไปดูสวน  เขาลือกันว่ามันสวย

                        ในตอนเช้า  เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้นแล้ว  จึงได้เข้าไปหานางถามว่า  รูปนันทาวันนี้จะไปชมสวนไหม  นางก็บอกว่า วันนี้ตั้งใจจะไป  วันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจัดกระบวนเป็นพิเศษ  สวยงามมาก  พอได้เวลาตอนบ่ายจึงได้พานางไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  แต่ทว่าขณะที่ไปเฝ้านั้นแล้ว  ก็ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกำลังแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่  นางเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเทศน์อย่างนั้น  ก็เลยนั่งอยู่ไกล ๆ  ท้ายบริษัท  เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์  นั่งอยู่ไกลที่สุดคือท้ายหมู่คน

 

พระพุทธเจ้าเนรมิตหญิงสาวสวย

 

                        ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ทรงทราบว่าน้องสาวเสด็จมา  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นว่าวิสัยของรูปนันทานี้จะได้อรหัตผล  เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาในวันนี้  ฉะนั้น องค์สมเด็จพระมหามุนีขณะที่เทศน์อยู่  สมเด็จพระบรมครูจึงได้ทรงเนรมิตรผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสวยสดงดงามมากว่าพระนางรูปนันทา  รูปร่างก็สวยกว่า  ทรวดทรงก็ดีกว่า  ผิวพรรณก็ดีกว่า  เครื่องประดับก็ดีกว่าพระนางรูปนันทามาก  ยืนอยู่ใกล้ ๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายงานพัด  ก็หมายความว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เทศน์  ฝ่ายหญิงนั้นก็ยืนพัดเรื่อยไป  เป็นเหตุให้พระนางรูปนันทามองดูหญิงคนนั้น  แล้วก็มองดูสมเด็จพระภควันต์  แล้วก็ดูตัวเอง

                        ก็นึกในใจว่า  ข่าวเขาลือกันว่าสมเด็จพระเจ้าพี่ตรงตำหนิสตรีผู้มีความงาม  แล้วผู้หญิงคนนั้นก็สวยกว่าเรา  แล้วเครื่องประดับประดาก็ดีกว่าเรา  ถวายงานพัดอยู่ใกล้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็คือพระเจ้าพี่  แล้วทำไมข่าวลือจึงลือกันไปว่าพระเจ้าพี่นี้ทรงตำหนิความงามของร่างสตรีใด ๆ  เป็นอนว่าข่าวคราวที่ลือกันไม่เป็นความจริง  ฉะนั้น เจ้าหญิงรูปนันทาจึงตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เพราะมีความเบาใจว่าเธอเป็นคนสวย  แต่ว่าสวยน้อยกว่าหญิงคนนั้น  เมื่อหญิงคนนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ให้อยู่ใกล้ถวายงานพัดได้แสดงวาไม่รังเกียจฉันใด  เธอซึ่งมีความงามต่ำกว่า  องค์สมเด็จพระศาสดาก็คงไม่รังเกียจในรูปฉันนั้น  เธอก็ตั้งใจฟังเทศน์

 

ฟังเทศน์

 

                        พระพุทธเจ้าวันนั้นเทศน์ใน ไตรลักษณญาณ  คือ อนิจจัง  ทุกขัง   อนัตตา หรือเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรก็เทศน์เป็นใจความสั้น ๆ ว่า  เวลามันสั้นนะ  ท่านกล่าวว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง  เกิดขึ้นมาแล้วก็มีความเสื่อมไป  เดิมเป็นเด็ก แล้วต่อมาก็เป็นหนุ่มเป็นสาวร่างกายสมบูรณ์แบบมีความงามทุกอย่าง แต่ความงามของทรวดทรงทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ทรงตัวอยู่  แล้วสมเด็จพระบรมครูก็ตรัสว่า  หลังจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วร่างกายก็จะร่วงโรยลงทีละน้อย ๆ  จนไปถึงวัยกลางคน  มาตอนนี้เอง  หญิงสาวคนสวยที่ถวายงานพัดอยู่  เมื่อสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไปแบบไหน  ร่างกายเธอก็ทรุดโทรมไปตามนั้น  ค่อย ๆ คลายความสวยไปทีละน้อย ๆ  จนถึงวัยกลางคน

                        พระนางรูปนันทานั่งมองดูฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระบรมครู  แล้วก็มองดูหญิงกลางคนนั้นแล้วก็แปลกใจว่า  หญิงคนนี้เมื่อกี้นี้มันสาวสวยกว่าเรา  แต่เวลานี้ก็แก่ไปทีละน้อย ๆ จนถึงวัยกลางคน  ผมเริ่มเป็นดอกเลา  ต่อมาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเทศน์ต่อว่า  กลายจากความเป็นคนกลางคนแล้ว  ร่างของบุคคลนั้นก็จะต้องแก่ไปทีละน้อย ๆ ทรุดโทรมไปทีละน้อย ๆ  ถึงวัยแก่ชราร่างของหญิงนั้นก็แก่ไปตามวาจาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์  ท่านก็บอกว่า  เมื่อความแก่เข้ามาถึงผมที่ดำสนิทก็กลับค่อย ๆ ขาวเริ่มเป็นดอกเลา  แล้วก็ขาวหมดทั้งศีรษะ  ผมของหญิงคนนั้นก็เริ่มคลายตัวไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็ขาวหมดหัว  พระนางรูปนันทาก็แปลกใจ

                        ต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่า  หนังที่เคยเปล่งปลั่งมันก็เหี่ยวย่นกลายเป็นคนที่ไม่มีความสวย  ร่างกายของหญิงนั้นก็เป็นตามนั้น  แล้วสมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า  แม้แต่ฟันที่อาศัยอยู่เต็มปากทั้ง 32 ซี่  นี้มันก็ยังหลุดไปทีละซี่สองซี่  ในที่สุดองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์อย่างนี้ปั๊บ  ฟันของหญิงนั้นก็หลุดไปทีละซี่สองซี่จนหมดปาก ปากบุ๋มเข้าไป  เวลาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่า  นอกจากความแก่จะเข้ามาถึงแล้ว  โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาเบียดเบียนมีอาการต่าง ๆ

                        มีอาการเสียดท้อง  ปวดท้อง  ปวดศีรษะ  มีอาการอาเจียน  เป็นต้น  แล้วองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดากล่าวแบบไหนหญิงนั้นก็มีสภาพแบบนั้น  ผลที่สุดก็อาเจียนเกือบล้มก็เกือบตาย  ในที่สุดองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวว่า  ที่สุดของชีวิตนั่นก็คือความตาย  หญิงคนนั้นก็ล้มลงมาทันทีถึงแก่ความตาย

                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสต่อไปว่า  ความตายมันไม่หยุดเพียงแค่นี้ ในเมื่อธาตุลมหมดไป  ธาตุไปหมดไป เหลือแต่ธาตุน้ำกับธาตุดิน  ธาตุดินไม่มีอะไรเป็นเครื่องประคับประคอง  คือไม่มีไฟประคับประคอง  ในที่สุดธาตุน้ำก็ละลายดิน  ดินละลายแล้วเกิดอาการเน่าขึ้นมา  บรรดาอสุภะคือของที่น่าเกลียดทั้งหลายในร่างกายก็ผุดขึ้นมามีกลิ่นเหม็นฟุ้ง  ขึ้นอืด  สภาพของหญิงนั้นก็เป็นสภาพแบบนั้น

                        ในที่สุดองค์สมเด็จพระภควันต์ก็กล่าวว่า  เมื่อน้ำหมดไปร่างกายก็โทรมลง  เนื้อหมดไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก  ภาพของหญิงนั้นก็เป็นตามนั้น  ในที่สุดท่านก็บกว่า  กระดูกเรี่ยรายหายไปจากสภาพร่างกาย  หายไปในพื้นปฐพี  ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ตามนี้  ร่างกายของหญิงนั้นมีสภาพไปตามนั้น

                        พระนางรูปนันทาก็มองดูตามภาพนั้นตามลำดับ  ในที่สุดก็มีความคิดว่า  หญิงคนนี้สาวกว่าเรา  หญิงคนนี้สวยกว่าเรา  รูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา  เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์เธอก็มีสภาพดีกว่าเรา  พองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ  พระนางรูปนันทาพิจารณาร่างกายหญิงคนนั้นแล้วก็พิาจารณาร่างกายของตัวเองว่า  สภาพต่อไปในเบื้องหน้าก็มีสภาพเป็นอย่างนี้  เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์เทศน์จบ พระนางรูปนันทาก็บรรลุอรหัตผลในพระพุทธศาสนา

 

บุญอะไรจึงเกิดมาสวย

 

                        แล้วกลับตามย้อนถอยหลังมาว่า  ทำไมพระนางรูปนันทาจึงสวยมาก ตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในที่บางตอน  ท่านกล่าวว่า  พระนางรูปนันทาเป็นคนในตระกูลศากยราช  เกิดในตระกูลของเจ้าก็จริงแหล่  แต่ทว่าเป็นเจ้าที่มีความสวยงดงามเป็นกรณีพิเศษ  ไม่มีหญิงใดในกรุงกบิลพัสดุ์มหานครจะสวยเท่าพระนางรูปนันทา

                        คำว่ารูปนันทา แปลว่า มีรูปเป็นเครื่องบันเทิง  คือมีรูปเป็นเครื่องดีใจ  สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า  ในอดีตชาติก่อน  คือว่าทุกชาติที่ผ่านมามันเป็นนิสัยนะ  พระพุทธเจ้าบอกว่านิสัยนี้ละไม่ได้  คนจะละนิสัยได้มีคนเดียวคือพระพุทธเจ้า  ถ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเพียงใด  ก็ทรงนิสัยตามนั้น  เมื่อได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ละนิสัยนั้นได้  มีองค์เดียว  คนอื่นนอกจากพระพุทธเจ้าแม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายก็ละนิสัยเดิมไม่ได้  อย่างพระสารีบุตรอดีตเห็นจะเกิดเป็นลิงมามาก  เป็นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เวลาพบลำคลองหรือลำราง  พระอื่นค่อย ๆ ข้ามไป  หรือค่อย ๆ ถกผ้าลุยน้ำไป  แต่พระสารีบุตรขัดเขมรแล้วก็โดดไป  เป็นอันว่านิสัยนี้ทิ้งไม่ได้แม้ว่าจะเป็นอัครสาวก

                        สำหรับพระนางรูปนันทาก็เหมือนกัน  ที่สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาตรัสว่า  ชาติในอดีตของรูปนันทาทุกชาตุที่เกิดเป็นมนุษย์  นี่หมายความว่าทุกชาติที่เกิดเป็นมนุษย์  เวลาที่เธอจะทำบุญทำทาน  ภาชนะทุกอย่างต้องสะอาดหมด  ตั้งแต่สมัยเป็นคนยากจนก็ตามที   ภาชนะมันอาจจะไม่ดีเท่าชาวบ้านเขา  แต่ว่าการทำความสะอาดภาชนะที่จะไปทำบุญต้องสะอาด  ถ้าไม่สะอาดเธอไม่ทำ  ต่อมาจนกระทั่งเป็นลูกเศรษฐีหรือลูกกษัตริย์ มาก็หลายวาระ  เวลาที่จัดภัตตาหารไปถวายพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ภาชนะทุกอย่างเธอต้องล้างเอง ต้องเช็ดเอง ต้องทำเองทุกอย่างจนกระทั่งเป็นที่พอใจ

                        องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  อาศัยที่รูปนันทาเป็นคนชอบความสะอาด  รักความสะอาด  เวลาให้ทานหรือบำเพ็ญกองการกุศล  เหตุนี้เป็นปัจจัยให้รูปนันทาเป็นคนสวยทุกชาติ  มาชาติสุดท้ายนี่เป็นคนสวยที่สุด  แต่ว่าไอ้ความสวยก็อยู่ไม่ได้นาน  แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้กล่าวแก่บุคคลทั้งหลายว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความจริงท่านเทศน์กับพระกับคน  แต่พระนั่งอยู่ใกล้จึงปรารภกับพระว่า

                        ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เธอทั้งหลายจงดูสภาวะของหญิงที่มีรูปงามที่ถวายงานพัดตถาคตอยู่  ในไม่ช้าไม่นานเท่าไร  องค์สมเด็จพระบรมครูคือตถาคตเทศน์ไม่ทันจะจบเธอก็ตาย  เวลานี้กระดูกเรี่ยรายลงบนพื้นปฐพี  จะหาสิ่งที่ปรากฎเป็นร่างกายนี้ก็ไม่ปรากฎฉันใด  พวกท่านทั้งหลายที่สดับรับรสพุทธพจน์เทศนาอยู่เวลานี้  ภายหลังไม่ช้าจากวันนี้ไป  วันคืนล่วงไป ๆ  ชีวิตก็เสื่อมไปทีละน้อย  เข้าไปหาความตาย  ถ้าอายุยืนสักหน่อยก็มีอายุถึงแก่  แก่แล้วก็ตาย  ถ้าบาปกรรมที่เป็นอกุศลทำไว้มากไซร้  เช่น ปาณาติบาต  ก็สามารถจะตัดชีวตไปในระหว่างกลางให้ถึงแก่ความตายได้  ฉะนั้น พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต  อย่าคิดว่าชีวิตจะยืนยาวต่อไป

                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนำมาซึ่งอริยสัจโดยย่อ  นั่นก็หมายความว่า  เธอทั้งหลายจงรู้สภาพว่าการเกิดนั้นมีสภาพเป็นทุกข์  การทรงชีวิตอยู่นั้นมีสภาพเป็นทุกข์ทุกอย่าง  ความหิวก็เป็นทุกข์  ความกระหายก็เป็นทุกข์  การป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นทุกข์  การประกอบการงานก็เป็นทุกข์  การปวดอุจจาระปัสสาวะก็เป็นทุกข์  มีความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์  มันทุกข์ทั้งหมด  เพราะว่าปรากฎแล้วว่าคนเกิดมาแล้วไม่มีความสุขแท้จริง

 

ปัจจัยให้เกิดทุกข์

 

                        พระองค์กล่าวว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  และบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง  พวกเราจะพ้นทุกข์ได้เพราะหาเหตุความเกิดให้พบ  เหตุที่จะเกิดความทุกข์ได้นั่นก็คือตัณหา ได้แก่ความอยาก

                        กามตัณหา  ได้แก่ ความอยากได้ในสิ่งที่ไม่มีให้อยากมีขึ้น

                        ภวตัณหา  สิ่งที่มีขึ้นแล้วอยากให้ทรงตัว  ตอนนี้แหละมันเป็นตัวทุกข์มาก  การอยากได้เข้ามาเป็นของธรรมดาของคนที่มีชีวิต  เพราะต้องเลี้ยงตัวเองเป็นของไม่แปลก ถ้าได้มาด้วยสัมมาอาชีวะ  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทรงตำหนิ  แต่ก็ทรงตำหนิตอนที่ว่า  พอได้มาแล้วไม่ต้องการให้มันหมดไป  จะให้มันทรงอยู่

                        อย่างคนที่ได้มาแล้วมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวเพียงใด  ต้องการให้สาวให้หนุ่มตลอดกาล  มีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงใดให้สวยอยู่ตลอดกาล  ทรัพย์สินที่หามาได้แล้วต้องการให้มันอยู่กับเราตลอดกาล  สมบัติส่วนใดที่สร้างขึ้นมาเป็นวัตถุ  ต้องการให้มันใหม่ตลอดเวลานี่มันเป็นไปไม่ได้  อารมณ์ที่ต้องการให้ทรงอยู่ตลอดกาลนี้เรียกว่าภวตัณหา  มันเป็นตัวบันดาลให้เกิดความทุกข์  เพราะอะไร  เพราะคนเกิดมาแล้วมันต้องแก่ทุกคน  ร่างกายต้องทรุดโทรมทุกคนแล้วต้องตายทุกคน  สัตว์ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน  วัตถุที่หามาได้นั้นได้มาจากใหม่แล้วก็เก่าลงไปทุกวัน ๆ  ถ้าเราต้องการให้มันใหม่อยู่  ให้มันทรงตัวอยู่  ในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปใจมันก็เป็นทุกข์  อันนี้ภวตัณหา  เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์  คืออารมณ์ต้องการให้ทรงตัวอยู่

                        และในตอนท้ายสมเด็จพระบรมครูกล่าวว่า

                        วิภวตัณหา  อีกตัวหนึ่งที่ทำให้เราทุกข์  วิภวตัณหานี่ยมอรับว่ามันแก่ก็แก่  ทนไม่ไหวห้ามไม่ได้  ของเก่าก็เก่าไม่ว่าอะไร  ขออยาให้มันพังอย่าตายก็แล้วกัน  ไอ้ความพังความตายมันเป็นของธรรมดาของสมบัติของโลก  นี่มันก็ห้ามไม่ได้อีก  ในเมื่อเราต้องการไม่ให้มันฟังไม่ให้มันตาย  ทีนี้เวลามันจะพังมันจะตายขึ้นมาใจเราก็เป็นทุกข์

                        ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า  เธอทั้งหลายเมื่อรู้เหตุของความทุกข์คือตัวอยาก  คืออยากได้ในสิ่งที่ไม่มาไม่มีมา ต้องการให้มีขึ้น  สิ่งที่มีขึ้นแล้วต้องการให้ทรงตัว  สิ่งที่มันไม่ทรงตัวไม่ต้องการให้มันจากไป  อาการอย่างนี้เป็นปัจจัยความทุกข์  เธอทั้งหลายจงตัดทุกข์ด้วยอริยมรรค  อริยมรรคท่านย่อลงแล้วเหลือ 3 ประการ คือศีล สมาธิ ปัญญา  คือตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์  และตั้งใจดำรงสมาธิหรือกำจัดนิวรณ์ 5  ออกจากใจ  ปัญญาพิจารณาไปว่า  ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5  ซึ่งประกอบด้วยธาตุ 4  มีอาการ 32 มันเป็นของไม่ดี  ตัวอย่างเหมือนสตรีในภาพเมื่อกี้นี้เธอเป็นสาวเป็นคนสวย  ต่อมาร่างกายก็ทรุดโทรมไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดก็แก่  แก่แล้วก็ตาย

                        เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า  จงอย่ายึดถือว่าร่างกายนี้เป็นเรา  เป็นของเรา  เราไม่มีในร่างกาย  ร่างกายไม่มีในเรา  จงอย่ายึดถือร่างกายของเราว่าจะทรงอยู่  จงอย่ายึดถือร่างกายของบุคคลอื่นว่าจะทรงอยู่  แล้วสมเด็จพระบรมครูก็กล่าวว่า  จงวางภาระในวัตถุธาตุทั้งหมดที่เป็นของภายนอกจากกาย  จิดใจเราไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากพระนิพพาน

                                                               **************

                                           


อานิสงส์การซ่อมแซมพระพุทธรูป (นางวิสาขา)

วิสาขาคนสวย

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

                        ท่านสาธุชนทั้งหลาย  วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในด้านของอานิสงส์แห่งพุทธบูชา  คำว่าพุทธบูชา  มหาเตชวันโต  แปลเป็นใจความว่า  การบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดชมีอำนาจมาก  คำว่าเดชอำนาจในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า  คนที่บูชาพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องเป็นนักเลงโต ไม่ใช่อย่างนั้น

                        คำว่าเดชอำนาจในพระพุทธศาสนาหมายถึงความดี  ฉะนั้น  การที่บูชาพระพุทธเจ้าโดยยอมรับนับถือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  โดยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาและมีความสามัคคีซึ่งกันและกัน  ช่วยกันสร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้น  ไม่ใช่มาช่วยกันสร้างสรรค์ความเดือดร้อน ทำลายชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และปวงชนชาวไทยและชาวโลกทั้งหลายให้มีความเดือดร้อน  การมีเดชมีอำนาจในพระพุทธศาสนา หมายถึงเดชอำนาจในด้านของความดีโดยเฉพาะ  เป็นทางนำมาซึ่งสันติสุข

                        ตอนนี้จะขอนำบุคคลที่บูชาพระพุทธเจ้า  ที่กล่าวว่า  พุทธบูชา มหาเตชวันโต มาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า  ท่านบูชาแล้วท่านมีอานิสงส์เป็นประการใดบ้าง  ท่านผู้นี้คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา  ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ  การที่นางบูชาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ มีผลหลายประการเป็นตัวอย่าง  จะนำมาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นตอน ๆ ไป  สำหรับตอนนี้จะนำเอาความรูปสวยของนางวิสาขามาคุยกับท่านพุทธบริษัท

 

สตรีมีรูปเป็นทรัพย์

 

                        สำหรับนางวิสาขา  เคยแปลในพระธรรมบทปรากฎว่า  เธอมีความงามเป็นพิเศษ  ตอนนี้จะขอพูดเรื่องพุทธบูชา ได้ความงามเป็นพิเศษ  เพราะบรรดาสุภาพบุรุษก็ดี สุภาพสตรีก็ดี  ต้องการความสวยสดงดงามด้วยกันทุกคน  ที่กล่าวว่าทุกคนก็ถือว่าเป็นส่วนมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์  ต้องการความสวย ต้องการความเรียบร้อยของร่างกาย  บุคคลิกลักษณะของร่างกาย  ต้องการให้เป็นที่ถูกตาถูกใจของบุคคลผู้ทัศนา  หรือว่าได้เห็นคำว่า ทัศนา แปลว่า ดู

                        โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านสุภาพสตรีถือว่ารูปเป็นทรัพย์  คือเราจะเห็นได้ว่าสตรีคนใดมีความงาม ถึงแม้ว่าจะมีฐานะเดิมยากจนเข็ญใจ  ก็อาจจะหาคู่ครองที่มีฐานะดี ๆ มีศักดิ์ศรีใหญ่ได้  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า  สตรีมีรูปเป็นทรัพย์ ฉะนั้นตอนนี้จะได้คุยเรื่องสตรีมีรูปเป็นทรัพย์  และมีทรัพย์สินมากด้วย  เอากันแค่รูปเป็นทรัพย์ก่อน คือมีความสวย

                        นางวิสาขามีความสวยเป็นกรณีพิเศษ  คือสวยไม่เหมือนชาวบ้านเขา  สวยเป็นสาวอายุ 16 ปี  เมื่อถึงคราวอายุ 16 ปี  รูปร่างยอดนารีมีลักษณะเช่นใด  และอยู่ต่อไปถึง  120  ปี  ก็ยังเป็นสาวแค่อายุ  16  ปีอยู่นั่นเอง  ลักษณะความสาวและความสวยของนางวิสาขา  ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีอยู่  5  อย่างด้วยกัน  ตามภาษาบาลีท่านเรียกว่า เบญจกัลยาณี

 

เบญจกัลยาณี

 

                        สำหรับลักษณะ  5  ประการ  ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาบาลีมันฟังยาก  ตอนนี้มากล่าวกันเป็นภาษาไทย  เจ้าคุณราชเมธี  วัดประยูรวงศาวาส  ท่านเคยประพันธ์ไว้เป็นกลอน  แต่ว่าคำกลอนนี้จะถูกต้องตามแบบฉบับของนักแต่งกล่อนหรือไม่  อาตมาไม่ทรบ  ท่านกล่าวไว้ดังนี้

                        1.  งามผมสมพักตร์ ลักขณา

                        2.  โอษฐาจิ้มลิ้ม ดูพริ้มเพรา

                        3.  งามทนต์ยลปลั่ง ดังสังข์ขัด

                        4.  ผิวทัศน์กรรณิกา งามราศี

                        5.  จะคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย

                        ที่นางวิสาขามีความสวย  5  ประการ  ถ้าหากว่าบรรดาสุภาพสตรีในสมัยปัจจุบันมีความสวยครบ  5  ประการอย่างนางวิสาขา  จะเป็นการลดค่าครองชีพลงมาก  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ก็จะเป็นการลำบากสำหรับนักตั้งสำนักงานสร้างความเสริมสวย เพราะว่าหน่วยการสร้างความเสริมสวยนี้จะตั้งขึ้นมาไม่ได้เลย  เพราะว่าคนงามเสียแล้วทั้งหมดก็ไม่มีใครเขาไปจ้างเสริมความงามกัน  ความงามของนางวิสาขาจะพูดให้ฟังตามกลอนของท่านเจ้าคุณราชเมธี  วัดประยูรวงศ์ฯ  ท่านแต่งมาจากเนื้อแท้ของบาลีว่า

                        1.  งามผมสมพักตร์ลักขณา  ผมของนางวิสาขานี้สลวยอยู่ตลอดเวา  เรียบไม่ต้องตัด  ไม่ต้องชำระสะสางก็ไม่เหม็นสาบ  ผมจะไม่ยาวเกินไป  ไม่สั้นเกินไป  ไม่เหม็นสาบไม่เหม็นสาง  ถ้าสมัยไหนเขาต้องการเรียบ  ผมของนางก็เรียบ  ต้องการหยิกผมก็หยิก  ต้องการเป็นผมลอนผมก็เป็นลอน  ในสมัยใดต้องการแบบใด  ลักษณะผมของนางวิสาขาจะเป็นไปตามสมัย ไม่ต้องดัดแปลง ไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องตกแต่ง ไม่ต้องตัด ไม่ยาวเกินไป ไม่สั้นเกินไป เป็นอันว่างามผม

                        2.  โอษฐาจิ้มลิ้ม ดูพริ้มเพรา  ริมฝีปากของนางวิสาขาไม่มีริ้ว ไม่มีรอย  เป็นริมฝีปากสวย มีความแดงระเรื่อพอสมควร  ไม่ต้องไปแตะไปต้องอะไรทั้งหมด  ปรากฎว่าสวยอยู่ตลอดเวลา

                        3.  งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด  ฟันของนางวิสาขาเรียบและเป็นเงางามคล้ายมุก ไม่ต้องแต่งเหมือนกันอยู่ตลอดเวลา

                        4.  ผิวทัศน์กรรณิกางามราศี  คำว่าผิวในที่นี้  ถ้าเขานิยมดำก็ดำสวย  ถ้าเขานิยมขาวผิวก็ขาว  เขานิยมเหลืองผิวก็เหลือง  เป็นไปตามความนิยม  ไม่มีไฝ ไม่มีฝ้า ไม่มีขี้แมลงวัน  ถึงแม้ว่าจะไม่อาบน้ำสักเดือนนึง  ผิวของนางวิสาขาก็ไม่เลอะ  ไม่สกปรก ไม่เหม็นสาบ ไม่เหม็นสาง

                        5.  จะคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี  หมายความว่าหญิงประเภทนี้ ถ้าคลอดบุตรเมื่ออายุเท่าไร  มีความงามของทรวดทรงอยู่ในระดับไหน  ความงามของทรวดทรงจะอยู่ในระดับนั้นจนกว่าจะถึงวันตาย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางวิสาขามีความงาม  5  ประการ  และคลอดบุตรเมื่ออายุ  16  ปี  เมื่อนางแก่ถึงอายุ  120  ปี  ก็ปรากฎว่าเป็นหญิงเหมือนอายุ  16  ปี นั่นเอง

                        ตัวอย่างในที่นี้  ก็ปรากฎมาในพระธรรมบทว่า  สมัยหนึ่งเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่  สมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท  นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน  แต่งงานเมื่ออายุ  16  ปี  หรืออาจจะก่อนหน้าสักนิด  และคลอดบุตรเมื่ออายุ  16  ปี  หลังจากนั้นนางวิสาขาก็มีบุตร  20  คน  วิสาขา  แปลว่า  งอกงาม  เหมือนกับกิ่งก้านของไม้ที่มีสาขา คือกิ่งยาวสล้างเป็นพุ่มสวย ไม่ใช่ไม้ชะลูด  ฉะนั้น  คำว่าวิสาขาแปลว่ากิ่งงามมาก  แค่กิ่งนั้นล่อเข้าไปตั้ง  20  กิ่ง  คือลูก  และนางวิสาขาก็ยังมีหลานอีก  โดยลูกทั้งหมดปรากฎว่ามีบุตรมาคนละ 20 คน

                        ท่านทั้งหลายก็เอา  20  ตั้งเข้าไป  แล้วก็  20  คูณเข้าไป  เข้าไปเท่าไรแล้ว แล้วก็เอาอีก 20 ของ 20 มาตั้ง คูณ ๆ กันลงไป ก็หมดเรื่องกันไป  เท่าไรก็ช่าง  จะเห็นว่าวิสาขานี้สมชื่อของนาง  มีกิ่งก้านสาขางอกงามทั้งลูกทั้งหลาน  รวมแล้วหลายร้อยคน  ถ้าจะเดินขบวนกัน ก็เห็นจะไม่ต้องเกณฑ์ชาวบ้านชาวเมืองที่ไหน

 

สาวเท่าหลาน

 

                        เป็นอันว่าในสมัยนั้น  เมื่อองค์สมเด็ยพระทศพลกำลังเทศน์อยู่  นางวิสาขานั่งอยู่ระหว่างท่ามกลางหลาน ๆ  ซึ่งมีความเป็นเด็กรุ่นสาว  พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์  พระบาทท้าวเธอได้ยินข่าวเขาเล่าลือกันว่า นางวิสาขามีลูก  20  คน  และลูกมีลูกอีกคนละ 20  คน  แต่ว่านางวิสาขายังสาวเท่าหลาน  จึงต้องการอยากจะทราบ  จึงย่อง ๆ ไปมองดู  เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนา  บรรดาสาว ๆ ทั้งหลายนับเป็นจำนวนร้อยนั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพุทธบริษัท

                        แต่ความจริงนางวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาหลานสาวๆ รุ่น ๆ  พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูก็ไม่รู้ว่าคนไหนคือนางวิสาขา   จึงถามท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า นางวิสาขาคนไหน  ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ชี้ให้ดู  บอกว่านางวิสาขาอยู่ท่ามกลางหลานพระพุทธเจ้าข้า  พระเจ้าปเสนทิโกศลพระบาทท้าวเธอทอดพระเนตร ก็หาทราบไม่ว่าใครคือนางวิสาขากันแน่  เพราะหาคนแก่ไม่ได้  มีแต่เด็กสาวรุ่น ๆ  ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงได้กราบทูลว่า  ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ คอยดูเวลาลุกขึ้นเมื่อเทศน์จบ

                        ตามธรรมดาเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็มีกำลังมาก  เวลาจะลุกเขาก็ลุกขึ้นมาปกติ  ถ้าคนแก่เวลาจะลุกขึ้น  จะต้องเอาสองมือยันพื้นก่อนจึงจะลุกขึ้น  ฉะนั้น  เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ  เขาก็ลุกกันตามปกติ  หลานลุกไม่ต้องใช้มือยัน  สำหรับนางวิสาขานั้นใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นจึงลุกขึ้นได้  เป็นอันว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่า ใครคือนางวิสาขา  ดูรูปร่างหน้าตาเป็นสาวรุ่น ๆ อายุราว  16  ปี เท่านั้นเอง

                        บรรดาท่านพุทธบริษัท  สำหรับตอนนี้ เรื่องพุทธบูชากล่าวถึงอานิสงส์ก่อน  มาหยุดกันไว้แค่ตอนนี้  เรื่องของนางวิสาขาไม่หมดเพียงเท่านี้  นี่เป็นตอนหนึ่งเฉพาะเป็นตอนสั้น ๆ  ที่ตัดมาเฉพาะเรื่องพุทธบูชาทำให้คนสวย  คือมีอานุภาพสามารถทำร่างกายให้คนสวย

 

เหตุที่เกิดมาสวย

 

                        ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงต้นเหตุที่นางวิสาขาทำไมจึงสวยเช่นนี้  ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า  ถอยหลังไปจากชาตินี้  ในสมัยพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก  เวลานั้น  นางวิสาขาเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา  สาวหรือไม่สาวไม่ทราบ  คงจะเป็นสาวก่อน และต่อมาก็คงจะเป็นแม่บ้าน  ไปใช้ศัพท์ว่าสาวมันอาจจะผิดบาลี  แต่ความจริงจะผิดเลยทีเดียวก็ไม่ได้  เพราะว่าคนเกิดมาเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาว  แล้วต่อไปจึงแก่เฒ่าทีหลัง

                        เป็นอันว่าในสมัยนั้น  นางวิสาขาก็มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่าพระพุทธกัสสป  เคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ  เวลาที่เขาจะเทศน์  เขาจะทำบุญกันที่ไหน   นางวิสาขาไปด้วยความเต็มใจ ไปฟังด้วยความเคารพ และบำเพ็ญกุศลด้วยความเคารพ  แต่ว่านางวิสาขาเวลาที่บำเพ็ญกุศลในจรรยาสัมมาปฏิบัติแล้ว ไม่เคยอธิษฐานหลังจากทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า ขอให้ได้เบญจกัลยาณี  คือมีความงาม  5  ประการ  ความจริงนางวิสาขาไม่ได้อธิษฐานอย่างนี้

                        มีความต้องการอย่างเดียว  คือการบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์  นางมีความต้องการเฉพาะคือพระนิพพาน หรือความสุขในปัจจุบัน  การทำบุญ บรรดาท่านพุทธบริษัท  เราได้รับผลกันในปัจจุบัน  คือรับความสุขในชาติปัจจุบันนี้ก่อน แล้วต่อไปบุญจึงจะสะท้อนให้เราเข้าสู่พระนิพพานในเมื่อบุญบารมีเต็ม

                        ปรากฎว่า  ในกาลครั้งหนึ่ง  ตามพระบาลีท่านว่าอย่างนั้น  เมื่อนางวิสาขาไปฟังเทศน์  เขาบอกกล่าวกันว่ามีพระท่านเทศน์ที่วัดโน้นวัดนี้  นางวิสาขาได้ฟังคำกล่าวว่ามีพระท่านเทศน์  จึงตั้งใจจะไปฟังเทศน์  แต่ในระหว่างทางปรากฎว่า  นางวิสาขาไปพบพระพุทธรูปองค์หนึ่ง  เขาสร้างไว้ในสถานที่โล่งแจ้ง  คือตากแดด  และพระพุทธรูปนั้นมีรอยร้าวเปลือกกระเทาะ  ทองก็ล่อนไปหมด  ปูนก็กระเทาะจนแหว่ง แลดูไม่สวยสดงดงาม ไม่เจริญตา  นางวิสาขาจึงเข้าไปกราบนมัสการพระพุทธรูป   ตั้งใจเจริญใจเป็นพุทธบูชากล่าวปฏิญาณว่า

 

สัจวาจา

 

                        ?เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากฟังพระธรรมเทศนาแล้ว  จะให้ช่างมาทำนุบำรุงพระปฏิมากร  รูปแทนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้มีความสวยสดงดงาม?

                        เมื่อนางไหว้พระพุทธรูป  นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า  นางก็ไปฟังเทศน์ เมื่อเทศน์จบคนเขากลับ  นางวิสาขาก็กลับ  เมื่อกลับมาผ่านพระพุทธรูปนั้นก็เข้าไปกราบอีก กล่าวคำปฏิญาณตามนั้น  หลังจากนั้นแล้ว  นางวิสาขาเมื่อมาถึงบ้าน  จึงได้สั่งให้นายช่างไปจัดการทำนุบำรุงพระพุทธปฏิมากร คือพระพุทธรูป  ซ่อมแซมให้เรียบร้อย ให้ดีคงเดิม พอเสร็จแล้วก็ทาสีหรือว่าปิดทอง  ทำตามความนิยมที่เห็นว่าสวยสดงดงาม  เป็นที่เจริญตาเจริญใจ  หลังจากนั้นนางวิสาขาจึงได้ให้นายช่างปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป ไม่ยอมให้ตากแดดตากฝนเหมือนเดิม

                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท  เป็นปัจจัยให้นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี  คือมีความงาม  5  ประการ  ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงรับรองเรื่องนี้ว่า  การที่นางวิสาขาทำนุบำรุงซ่อมแซมพระพุทธรูปที่เก่าคร่ำคร่า  มีสภาพไม่ดี  ให้กลับมีสภาพสวยสดงดงาม  เพราะอานิสงส์ทำความงามให้แก่พระพุทธรูป  อานิสงส์นี้จึงสร้างสรรค์ให้นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี

                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท  ที่กล่าวว่า  พุทธบูชา  มหาเตชวันโต  การบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดช มีอำนาจ  ความจริงคำว่าเดช คำว่าอำนาจในที่นี้หมายความว่า เราจะได้รับความดีซึ่งเป็นเครื่องตอบสนอง

                        เอาละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความปรารถนาความสวย  ซึ่งเป็นเหตุสร้างความสุขใจให้เกิดขึ้นแก่ท่าน  ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านปฏิบัติตนเยี่ยงนางวิสาขา  จะได้เบญจกัลยาณี  5  ประการ  ตามที่กล่าวมาแล้ว

 

ความสุขใจชาตินี้

 

                        แต่ว่าก่อนที่ท่านทั้งหลายจะได้เบญจกัลยาณี  ความดีย่อมจะปรากฎแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทในชาติปัจจุบัน  คือสำหรับนางวิสาขานั้น  ปรากฎว่าเป็นผู้หนักไปด้วยการให้ทาน  การให้ทานเป็นการสร้างมิตร  บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการทำลายจิตของบุคคลผู้เป็นศัตรู  บุคคลผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับทาน  ในเมื่อเรามีคนรักมาก ๆ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ความสุขมันก็มาก

                        ทั้งนี้  เพราะว่าเราไปทางไหนไม่มีศัตรู  มีแต่คนเป็นที่รัก  ไปทางไหนก็ตามจะพบกับความยิ้มแย้มแจ่มใส  จะมีความสุขใจตลอดเวลา

                        ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีศีลอีก  คนที่มีศิลได้ก็เพราะอาศัยจิตเมตตาเป็นสำคัญ เราไม่ประทุษร้ายท่าน  เราไม่ทำอะไรเขาให้รับความลำบาก  เราไม่ฆ่าเขา  เราไม่ลักทรัพย์สินของบุคคลใด  เราไม่ยิ้อแย่งความรักของบุคคลอื่น  เราพูดแต่ความจริง  ทำสติสัมปชัญญะของเราให้สมบูรณ์  เป็นคนมีความมั่นคงในสติสัมปชัญญะ  เมื่อเราไม่ละเมิดสิ่งเหล่านี้ เราก็เป็นที่รักของบุคคลอื่น  ความชื่นในชีวิตมันก็ปรากฎ  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้กล่าวว่า

                        สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ

                        ?บุคคลใดปฏิบัติศีล  ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา?

                        สีเลนะ  โภคะสัมปะทา

                        ?บุคคลใดรักษาศีลบริสุทธิ์แล้ว  บุคคลนั้นจะมีทรัพย์สินเยือกเย็น บริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติ?

                        สีเลนะ  นิพพุติง  ยันติ

                        ?ศีลย่อมเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน?

                        หากว่าท่านพุทธบริษัททุกท่านมีทั้งทาน  มีทั้งศีล  จะมีความสุขมาก  ถ้าหากว่าปฏิบัติตามมติขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกสักนิด  คือทำใจให้สบาย  ที่เรียกว่าทำจิตให้เป็นสมาธิ  ก็คือ  เอาจิตตั้งไว้ในอารมณ์ที่เป็นกุศล  ไม่คิดทำลายตน  และไม่คิดทำลายบุคคลอื่น  สร้างความแช่มชื่นให้ปรากฎ

                        โดยยึดถือคุณพระพุทธเจ้า  คุณพระธรรม  คุณพระสงฆ์  เป็นประจำใจ

                        นึกถึงทานการบริจาคเข้าไว้ว่า  เราตั้งใจจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะทำได้

                        นึกถึงศีลที่เคยรักษาเข้าไว้

                        นึกถึงความดีของเทวดาว่า  เทวดาท่านจะเป็นเทวดาได้เพราะอาศัยความอายบาป คืออายความชั่ว   เกรงกลัวความชั่ว

                        ถ้าทำได้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท  หากว่าท่านทั้งหลายจะยังไม่ตายจากชาตินี้  ยังไม่ได้เบญจกัลยาณี ก็จะมีแต่ความสุขใจ  จะไปสถานที่ใดก็จะพบแต่คนที่เป็นมิตร จิตใจก็จะมีความสุข

                        เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  การคุยกันเรื่อง พุทธบูชา  มหาเตชวันโต  คือการบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดชมีอานุภาพมาก  สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.

 

                                                                  *************

 

(จากหนังสือธรรมสัญจร  เล่ม 4)

************************



อานิสงส์ถวายไม้กวาด (พระนางโรหิณี)

อานิสงส์ถวายไม้กวาด (พระนางโรหิณี)

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

 

                        ถวายไม้กวาดมีอานิสงส์ให้เทวดาทะเลาะกันได้  อย่างน้องสาวพระอนุรุธ พระนางโรหิณีใช่ไหม  จำได้ไหมท่านเป็นโรคเรื้อนและเป็นสาวด้วย  เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จ  พระอรหันต์ไป  เธอก็ไม่ออกมาใส่บาตร ออกมาก็อายเขา  เป็นสาวด้วยเป็นโรคเรื้อนก็อายเขาใช่ไหม  ต่อมาพระอนุรุทธเห็นว่าน้องสาวหายไป  พอพระกลับที่พักแล้วก็เดินย้อนกลับมาหา  น้องสาวก็มาหา  ก็เลยถามว่า พระพุทธเจ้าเสด็จ พระอรหันต์มา ทุกอย่างเป็นบุญใหญ่  ทำไมไม่ยอมมาไหว้  ก็เลยบอกว่าท่านเป็นสาวและก็เป็นโรคเรื้อนด้วย  กลัวชาวบ้านรังเกียจ  ออกมาก็อายชาวบ้านเขา

                        พระสารีบุตร ก็บอกให้หาทางช่วย  ว่าสถานที่พระจะฉันข้าว  เวลาพระไปบิณฑบาตร  ให้ไปดูสถานที่ตั้งอาสนะตั้งน้ำใช้น้ำฉัน  พอพระจะมาก็กลับเข้าข้างในไป  ก็มาทำอย่างนั้นทุก ๆ วัน  ทำทุกวันด้วยศรัทธา  ศรัทธาท่านมีแต่ว่าที่ไม่ออกมาเพราะโรคเรื้อน  ภายในไม่ช้าโรคเรื้อนก็หาย  เออ...น่าคิดนะ  อย่างนั้นจะลองบ้างก็แล้วกัน (หัวเราะ)

                        และต่อมาท่านก็ตาย  ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก  เป็นนางฟ้าที่สวยที่สุดในดาวดึงส์  แต่ว่าตามธรรมดา นางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี ถ้าสร้างวิหารทานไว้  หรือทำบุญอย่างน้อยได้ถวายสังหทาน  เงินทุกบาทที่ใส่ขันทั้งหมดฉันถือเป็นสังฆทานและวิหารทาน  น้อยก็ตาม มากก็ตาม  ฉันถือเป็นสังฆทานกับวิหารทาน  ถ้าสร้างวิหารทานก็ดี  หรือสังฆทานก็ดี อย่างนี้เขามีวิมานอยู่ใช่ไหม

                        แต่พระนางโรหิณีไม่ทำแบบนั้น  ได้แก่กวาดสถานที่ เก็บสถานที่ ก็เลยไม่มีวิมานอยู่  ถ้าเทวดาหรือนางฟ้าที่เขามีวิมาน  วิมานจะเกิดก่อนนะ  พอตายปั๊บก็เข้าวิมานเลย เป็นเจ้าของวิมาน  ถ้าเป็นเทพบุตรเทพธิดาก็ต้องไปเกิดบนตักของเทวดาหรือนางฟ้าองค์ใดองค์หนึ่ง  ถ้าจะเป็นบริวารก็ต้องไปเกิดในเขตของวิมานนั้น  ทีนี้คำว่าเกิดนอกเขตวิมาน  ถ้าหากว่าใกล้วิมานของเทวดาหรือนางฟ้าองค์ไหน  ก็เป็นบริวารขององค์นั้น  ถ้าอยู่กึ่งกลางเขต  ถ้าหันหน้าไปทางวิมานไหนก็จะเป็นบริวารของวิมานนั้นนะ

                        ทีนี้สำหรับพระนางโรหิณีนี่แปลก  ไปเกิดที่กึ่งกลางทั้ง  4  วิมาน   ถ้าเป็นจราจรไปวัด วัดเท่ากันหมด แล้วก้มหน้าด้วย ถ้าหันหน้าไปวิมานไหนต้องเป็นบริวารของวิมานนั้น  แกก้มหน้า เทวดาก็ทะเลาะกัน  เธอสวยมากด้วย  ว่านางฟ้าองค์นี้ต้องเป็นบริวารของฉัน  ผลที่สุดก็ตัดสินใจไม่ได้  ตัดสินกันไม่ได้ก็ใช้เจ้าหน้าที่รังวัดมาวัด  แล้วมันเท่ากัน แกไม่เงยหน้าใช่ไหม ก็ต้องร้อนถึงพระอินทร์มาตัดสิน

                        พระอินทร์ก็ถามว่า  ถ้าเธอไม่ได้นางฟ้าองค์นี้เป็นบริวาร  เธอจะเป็นอย่างไร บางองค์ตาจะแตก  บางองค์ร่ายยาวก็ว่ากันไป  พระอินทร์ก็เลยตัดสินใจว่า  ถ้าฉันไม่ได้นางฟ้าองค์นี้เป็นบริวารฉันจะตายเดี๋ยวนี้แหละ (หัวเราะ)

                        ตกลงพระอินทร์ได้ไป  !

                        เพราะอะไรรู้ไหม  เพราะว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้น  เขาไปเกิดจุดนั้น  เขาเอาไปเป็นบริวารของใครก็ต้องเป็นบริวารของคนนั้น  ถ้าใครอยากจะสวยก็ไปกวาดวัดใช่ไหม  แต่ก็พยายามแหงนหน้าไว้  เดี๋ยวเทวดาจะตีกันเอง (หัวเราะ)

                        เห็นเขาถวายไม้กวาดแต่เขาไม่ได้กวาดเอง ให้คนอื่นใช้ทำ  วัดสะอาดก็มีอานิสงส์เท่ากันใช่ไหม 

 

                                                                 ****************




อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป

 

อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป

 

การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้

 

                        1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน  จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ

                        2.  สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง  สรรพภยันตรายสลาย

                        3.  เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน  เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้ว  ก็จะเลิกเว้นการจองเวร

                        4.  เหล่ายักษ์ผีรากษส  งูพิษ เสือร้าย  ไม่อาจเป็นภัย

                        5.  จิตใจสงบ ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล

                        6.  มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฎเกินความคาดฝัน  ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน

                        7.  คำกล่าวเป็นสัตย์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา

                        8.  คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี  ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชาย

                        9.  พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาเลิศล้ำ บุญกุศลเรืองรอง

                        10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็น  เป็นเนื้อนาบุญอย่างอเนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิด  จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า  ปัญญาในธรรมแก่กล้า  สามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

                        การจัดสร้างพระพุทธรูปและสิ่งพิมพ์เป็นกุศลดังกล่าว  ฉะนั้น ในงานวันเกิด งานมงคลต่าง ๆ การฉลองยศหรือตำแหน่ง การทำบุญสะเดาะเคราะห์ หรือขอพร การขอขมาลาบาปตลอดจนการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น  หากได้สละทรัพย์สินเงินทองเพื่อจัดกิจการดังกล่าวด้วย  ก็จะเป็นผลานิสงส์สืบต่อไป


**********************


อานิสงส์การถวายพระไตรปิฎก (พระสารีบุตร)

อานิสงส์การถวายพระไตรปิฎก

 

                        วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร  เวลานั้นชื่อ อุปติสสะ  อาศัยที่ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา  เป็นเหตุให้เป็นผู้มีปัญญาเลิศ       ทีนี้ความเป็นผู้มีปัญญาเลิศของพระสารีบุตร  เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว  เราอาจจะคิดว่าเป็นของมหัศจรรย์  เราพบว่าแก้วนี่ถ้าปราศจากละอองธุลีเข้ามาเบียดบังทำให้แปดเปื้อน  มันก็ใส  จิตของพระอรหันต์ก็ใสประกอบไปด้วยประกาย  คือหาอะไรเปื้อนไม่ได้  จึงเป็นผู้ทรงปัญญาเลิศ  ตอนนี้เราก็ว่าอัศจรรย์แล้ว  แต่คิดไปอีกทีไม่น่าอัศจรรย์  เพราะเป็นพระอรหันต์

 

                        นี่เราหลบกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง  ตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตร ยังเป็นลูกชาวบ้านอยู่  เราจะเห็นปัญญาพระสารีบุตร  ขณะที่ท่านทั้งสองไปดูมหรสพ  แล้วเกิดอารมณ์เศร้าใจ  วันอื่นนั้นสบายใจ ดีใจ ร่าเริง  ให้รางวัลแก่ผู้แสดงมหรสพ  แต่วันนั้นทั้งสององค์ต่างนั่งหน้าเศร้า  หน้าสลด  ไม่ร่าเริง  ทั้งนี้เพราะดู ๆ มหรสพก็นั่งคิดไปว่า

 

                        ?เฮ้อ...คนดูมหรสพนี่ไม่ช้าก็ตายหมด  พวกแสดงนี่ไม่ช้าก็ตายหมด  แถมเราเองก็ต้องตายเสียด้วย  ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมาเพื่อตายอยู่ทำไมกัน  เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด?

 

                        ท่านก็มาใคร่ครวญว่า   ?ธรรมที่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วตายได้มันมี  ก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นธรรม  ที่ทำให้คนเกิดไม่ตายได้?

 

                        หมายความว่า  เมื่อมีมืดแล้วก็มีสว่างคู่กัน  หรือทางพ้นแห่งความตาย  ที่เราเรียกว่า  ?โมกขธรรม?

 

                        ท่านทั้งสองตกลงใจกันว่า  เราเปิดเถอะ ไปหาโมกขธรรมที่เป็นเครื่องพ้นแห่งความตายดีกว่า  จึงลาพ่อลาแม่   มีบริวารคนละ 250   เพราะเป็นลูกมหาเศรษฐี  ออกจากสำนักพ่อแม่ไป  บริวารทั้งสองท่านรวมกันเป็น 500  หัวหน้าอีกสอง คือตัวท่านเองเป็น 502 ท่าน  เข้าไปอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก  ท่านสัญชัยปริพาชกก็สอนสุดกำลัง  ท่านทั้งสองก็เรียนเต็มที่  เพราะความมีปัญญาด้วยกันทั้งคู่  ปรากฎว่าไม่ช้าท่านก็เรียนจบ  แล้วก็มีความฉลาดเก่งกาจมาก

 

                        ท่านสัญชัยปริพาชกก็ให้เป็นอาจารย์สอนแทน  แต่ว่าท่านทั้งสองนี่อาศัยที่มีบุญญาบารมีเต็มแล้ว  ควรที่จะเป็นพระอรหันต์  จึงมาคำนึงพิจารณาว่า  ความรู้ที่ได้จากสำนักนี้ยังไม่จบ  ยังไม่พ้นจากความตาย  ธรรมที่ดีกว่านี้ต้องมีอีก

 

                        นี่เพราะดวงปัญญาของท่านเดิม  ที่เคยถวายพระไตรปิฎกแก่พระ

 

                        ท่านทั้งสองจึงตกลงกันว่า  ?นี่เราช่วยกันแสวงหาโมกขธรรม  ถ้าใครเจอะอาจารย์ดีกว่านี้ก็มาบอกกัน  หรือใครได้พบธรรมในการค้นคว้าดีกว่านี้ละก้อ กลับมาบอกกัน?

 

                        ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ  เวลานั้นก็มีลูกศิษย์ปัญจวัคคีย์อยู่ 5 องค์เป็นพระบริวาร  เมื่อทั้ง 5 ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว  พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้ไปประกาศพระศาสนา  แต่มีเงื่อนไขว่า  ไปแล้วอย่ารวมกัน  ให้แยกกันไปคนละที่

 

                        บังเอิญพระอัสสชิมาสายนั้นพอดี  ท่านก็บิณฑบาตอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น  ต่อมาวันหนึ่ง  พระสารีบุตรเวลานั้นชื่อ  อุปติสสะ  ท่านออกไปจากสำนัก  ก็พอดีเห็นพระอัสสชิเดินออกบินฑบาตผ่านไป  เห็นลีลาของท่านไม่ว่าจะเป็นลีลาการเยื้องกาย  ก้าวเท้าซ้ายแกว่งเท้าขวา  อิริยาบถใดดูแล้วงามจริง ๆ  เป็นจริยานิ่มนวล  ท่านจึงคิดในใจว่า

 

                        ?พระสมณะองค์นี้น่าเลื่อมใส  เราอยากจะรู้นักว่าเป็นลูกศิษย์ใคร  สำนักของเรานี่มีลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น  แต่จริยานิ่มนวลในการสำรวม ในการเดินทอดจักษุแบบนี้ไม่มี  หากว่าเราจะถามเวลานี้ในขณะที่ท่านบิณฑบาตก็ไม่ควร?

 

                        นี่ดูความเป็นผู้มีปัญญาของพระสารีบุตร  ท่านก็นึกต่อไป

 

                        ?มันเป็นเวลาที่ไม่ควร  เราควรจะถามในเวลาที่ท่านกลับ?

 

                        เห็นท่านเดินไป  พระสารีบุตรนั่ง  ตอนนั้นท่านยังเป็นปริพาชก  ยังไม่เป็นพระสารีบุตร  ชื่อเดิมว่า อุปติสสะ  ที่เราเรียก สารีบุตร  ก็เพราะว่าเดิมแม่ชื่อสารี  เวลาพระอัสสชิกลับมา  ท่านก็ย่องเข้าไปยกมือไหว้แล้วก็ถาม

 

                        ?พระคุณเจ้าเป็นลูกศิษย์ของใคร  อยู่สำนักของใคร  ชอบใจธรรมะของท่าน ครูของท่านสอนว่าอย่างไร?

 

                        พระอัสสชิท่านเป็นอรหันต์รุ่นแรกซะด้วย  นี่เขาว่าขลังนะ  แต่ความจริงพระอัสสชินี่เป็นพระอรหันต์สุขวิปัสสโก  เราจะจับกันได้ก็ตอนพระอัสสชินิพพาน  ตอนนั้นเป็นโรคกระเพาะ ครางอ๋อย  บ่นบอกให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เพราะโรคมันเบียดเบียนมาก  ท่านก็ยืนมองพระสารีบุตร  ปั๊บเดียวก็รู้ว่าเป็นพระอรหันต์  เพราะอรหันต์นี่จิตสะอาดมาก  ท่านก็นึก

 

                        ?ปริพาชกคนนี้ฉลาดมาก  หากเราขืนพูดมาก เดี๋ยวถูกต้อนจนมุม?

 

                        ท่านก็เลยบอก  ?ปริพาชก  เราเป็นผู้ใหม่ในพระพุทธศาสนา  เราเป็นลูกศิษย์ของพระสมณโคดม  ท่านถามปัญหาของท่าน  เราตอบแบบพิสดารไม่ไหว  เพราะเรายังใหม่อยู่  มีความรู้ไม่มาก?

 

                        แต่ความจริงพระอรหันต์นี่ไปไล่ท่านไม่จนหรอก  ตอนนั้นพระสารีบุตรยังไม่เป็นพระอรหันต์นี่  ไล่อย่างไรก็ไม่จน  เพราะพระอรหันต์นี่ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ  ไม่ต้องอาศัยหนังสือ  เดี๋ยวนี้ปัญญาจะเกิดได้ต้องอาศัยหนังสือก่อน  พระสารีบุตรได้ยินเช่นนั้นก็เลยบอกว่า  ?ท่านจะพูดเรื่องพิสดารทำไม  เอาแค่หัวข้อย่อ ๆ ก็พอแล้ว?

 

                        พระอัสสชิจึงกล่าวว่า  ?ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น?

 

                        เพียงเท่านี้  พระสารีบุตรก็เข้าใจทันที  แล้วก็สำเร็จพระโสดาบัน

 

                        นี่เราจะเห็นว่าปัญญาของท่าน  แม้แต่ยังไม่เป็นอรหันต์  เพียงฟังธรรมโดยย่อก็เข้าใจทันที  และก็สำเร็จพระโสดาปัตติผล  ต่อมากลับมาพบพระโมคคัลลาน์ก็บอกว่า

 

                        ?เวลานี้พบโมกขธรรมแล้ว  เจออาจารย์ใหม่ด้วย?

 

                        พระโมคคัลลาน์ก็ถาม  ?ธรรมนั้นได้มาอย่างไร?

 

                        พระสารีบุตรก็บอกตามนั้น  พระโมคคัลลาน์ก็ได้พระโสดาปัตติผลเหมือนกัน  นี่เราจะเห็นว่า  ปัจจัยที่ได้ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา  ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้มีปัญญาเลิศเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว  ถึงแม้ว่าเราเกิดในช่วงต่อ ๆ ไปที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด  เราก็เป็นผู้มีปัญญาประเสริฐกว่าบุคคลอื่นเหมือนกัน  แต่ทว่าไปโดนคนที่เขาถวายพระไตรปิฎกเหมือนกัน  ก็เห็นจะไม่เหลื่อมล้ำกว่ากันแน่  เคยไปเทศน์ชนกัน  บางทีเทศน์เรื่องคืบเดียว  3  วันยังไม่จบ  เพราะมีข้อไล่กันไปไล่กันมาไม่จบ  อย่างนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า  พวกนี้เขาฝึกฝนปัญญามาด้วยการถวายพระไตรปิฎกในพระศาสนา

 

                        นี่เป็นอันว่า การที่ญาติโยมเอาพระไตรปิฎกกับเชิงเทียนมาถวายวัด  เชิงเทียนนี่ก็เป็นประทีปโคมไฟ  พระไตรปิฎกเป็นตัวปัญญา  ฉะนั้น  อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ

 

                        1.  ทิพจักขุญาณ

                        2.  ปัญญาเลิศ

 

                        สำหรับท่านที่เป็นผู้ร่วมรายการด้วยการโมทนา  ก็เป็นปัตตานุโมทนามัย  เราเป็นคนมีปัญญาไม่ถึงหัวแถว  อยู่กลาง ๆ แถวหรือท้าย ๆ แถวก็ได้  พวกที่จะได้ทิพจักขุญาณก็เหมือนกัน  บุญใดที่เขาทำแล้วเรายินดีด้วย  เรียกว่า  ปัตตานุโมทนามัย

 

                        ดูตัวอย่างพระนางพิมพา  ไม่เคยทำบุญเองเลย  พระพุทธเจ้าทำคนเดียว  แต่พระนางพิมพาโมทนาตลอดกาล  เวลาพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์  พระนางก็เป็นอรหันต์ได้  เพราะปัตตานุโมทนามัยอันนี้เอง.

 

(คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ  โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี)

 

(จากหนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 2)

 



***********************


อานิสงส์ของทาน

อานิสงส์ของทาน

 

                        การให้ทานนี้อย่าลืมนะว่า  ถ้าใจยังไม่หนักแน่นพอ  คนที่เรายังไม่ชอบใจอย่าเพิ่งให้  ให้แต่คนที่เรารักหรือคนที่เราไม่เกลียด  ต่อไปถ้ากำลังใจสูงขึ้น  จิตสบายมีอุเบกขาดี มีเมตตาบารมีสูง  ก็ให้ไม่เลือก  ให้เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ คือกิเลสของเรา  กำลังใจในการให้ทานน่ะเป็นจาคานุสสติ  ก่อนที่จะคิดให้เป็นจาคานุสสติ  อันนี้อนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่งถ้ามีประจำใจแล้วมันก็ตกนรกไม่ได้

 

                        จะยกตัวอย่างมันก็ยาวเกินไป  จะขอพูดถึงอานิสงส์การให้ทาน  ที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงตรัสว่า  สมัยพระพุทธกัสสปท่านเทศน์อยางนี้  ท่านบอกว่า

 

                        บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง  แต่ไม่ชักชวนคนอื่น  ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่  จะมีทรัพย์สมบัติมาก  จะเป็นคนร่ำรวย  เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี  แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก  มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน

 

                        บุคคลใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น  แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน  ท่านบอกว่า  ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมากแต่ยากจน

 

                        บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง  แล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย  ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่จะเป็นคนร่ำรวยมากด้วย  แล้วก็จะมีเพื่อนมีบริวารมีมิตรสหายมาก  นี่เรียกว่ามีความสุข

 

                        บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเอง  ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วย  ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่  จะไม่มีทรัพย์สมบัติ  เป็นคนยากจนเข็ญใจ  เป็นยาจกขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้  ไม่มีใครเขาอยากจะให้  มีแต่คนรังเกียจ

 

                        การให้ทานที่ก่อนจะนิพพานน่ะ  เราจะต้องมีความสุขในทรัพย์สมบัติก่อน  จะไปคิดว่าการให้ทานเป็นการกำจัดโลภะความโลภ  หรือมีผลอันน้อยแค่กามาวจรอันนี้ไม่ถูก  ถ้าเราจะไปนิพพาน  ถ้าเราลำบากมันไปยาก  ใจไม่สบาย  จะเล่านิทานสักเรื่องหนึ่งเอาไหม  มันจะชักช้าก็ช้า  จะจบเมื่อไรก็ช่าง  ก็เล่าสู่กันฟัง

 

                        ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่  มีคนหนึ่งเขามาเกิด  แต่คนคนนี้น่ะในชาติก่อน ๆ เวลาบำเพ็ญบารมี  ตัดทานบารมีออกจากใจ  แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร  เขามีจาคานุสสติกรรมฐานเป็นปกติ  ได้จาคานุสสติกรรมฐาน  ตัวนี้เขาไม่ได้ให้  แต่จิตเขาละความโลภ  คือละความอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นที่ใครไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะ  เขาไม่เอา  เขาไม่อยากได้  แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน  ที่ว่า  ?ทานัง  สัคคโส  ปาณัง?  ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  ?ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์?   เขาบอกว่ามันต่ำไป  เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า  คือ

                        1.  มีศีลบริสุทธิ์

                        2.  สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์

                        3.   มีปัญญาแจ่มใสเพื่อตัดกิเลส

 

                        ก็เป็นการบังเอิญว่า  ชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า  ก็ต้องตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดา  ก็สงสัยอาจจะเป็นเทวดาคนจนก็ได้  ทิพยสมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้  ทีนี้ก็กลับมาเกิดใหม่  มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี  โสเภณีเวลานั้นถือว่าเป็นตระกูล เป็นอาชีพ ๆ หนึ่ง สังคมหรือสมาคมหนึ่ง แต่ว่าโสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง  เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่า โสเภณีเลว  ไม่ใช่อย่างนั้น  เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี  พอออกมาเป็นลูกผู้ชายเขาไม่ต้องการ  เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ ทิ้งปล่อยให้ตาย  ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้

 

                        เวลานั้นโสเภณีผู้ชายยังไม่มี  ถ้าบังเอิญมีโสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้  บางประเทศก็จะหากินคล่องเหมือนกัน  เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของบุคคลแต่ละคน  ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุข  ถูกปล่อยแต่เขาก็ไม่ตาย  เขาไม่ตายเพราะอะไร เพราะว่ามีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้  เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้นไม่ตาย  ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้  จนกระทั่งเป็นหนุ่ม  เดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ไม่มีอะไรกิน  แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร

 

                        ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า  เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้  เป็นลูกเขาออกเอารกมาฝัง  ก็แอบดู  พอเขาไปแล้วก็ย่องเข้าไปขุด  เห็นรกเด็กเลยนำรกมากิน  ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว  นี่การขาดทานบารมี  หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมา  เห็นพระท่านมีความสุขเลยขอบวช  พระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช

 

                        ในเมื่อบวชแล้ว  เวลาบิณฑบาตรตอนเช้า  พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ  เพราะเดินตามอาวุโส  ชาวบ้านใส่บาตรจากหน้า  พอจะถึงองค์หลังข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน  ท่านก็เดือดร้อนไม่ได้กินข้าว  อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้  ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้ หาเองไม่ได้  ใจก็ไม่สบาย

 

                        วันที่สอง ท่านอุปัชฌาย์บอกว่า  ?วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง  วันนี้คุณเดินข้างหน้า  ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ?  แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์  อย่างต่ำก็ต้องเป็นวิชชาสามหรืออภิญญาหกแน่  เพราะรู้เรื่องในใจดี  รู้กฎของกรรมดี  ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่าคนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร

 

                        วันที่สอง  ชาวบ้านบอกว่า  ?วานนี้เราใส่หน้าไม่ถึงหลัง  วันนี้รวมกันใส่จากหลังมาหาหน้า?  พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดี  แต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง  แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด

 

                        วันที่สาม พระอุปัชฌาย์บอกว่า  ?เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  คุณยืนกลางเขาจะใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น?  เป็นอันว่าท่านยืนกลาง

 

                        วันที่สาม  ชาวบ้านบอกว่า  ?วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง  วันที่สองใส่หลังไม่ถึงหน้า  วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก  ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก  ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก? เขาก็ทำตามนั้น  ปรากฎว่าทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมดพอดี

 

                        วันที่สี่  พระอุปัชฌาย์บอกว่า  ?ยืนรองฉัน  มันใส่แบบไหนถึงทั้งนั้น?  ในวันต่อมา  เขาใส่บาตรพระตามระเบียบ  ใส่บาตรที่ 1 เขาไม่เห็นบาตรที่ 2 ไปใส่บาตรที่ 3  พอวันต่อมาพระอุปัชฌาย์บอกว่า ?คุณยืนรองฉัน?  ท่านเอามือจับบาตรไว้  เขาจึงเห็นบาตรของท่าน

 

                        นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริง ๆ  ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้  เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน  แต่นั่นบังเอิญเป็นบารมีของท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์  ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น  เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด  พระอุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนักท่านก็เป็นพระอรหันต์  เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตร  เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว

 

                        นี่การให้ทานน่ะมีความสำคัญอย่างนี้นะ  จงอย่าคิดว่าเราต้องการเฉพาะพระนิพพาน  เราไม่ให้ทาน  เราเอาเฉพาะศีลภาวนา  อันนี้ไม่ได้  ท้องไม่อิ่มนี่มันภาวนาไม่ไหว มันจะตายเอา  ดีไม่ดีมันเป็นโจร

 

                        การให้ทานของบรรดาท่านพุทธบริษัท  เราจะต้องให้  ถ้าบุญบารมีของเรายังไม่เต็มเพียงใด  เราก็เอาละ  เราจะต้องใช้ต้องกิน  แต่ถ้าบุญบารมีเต็ม  เราก็จะมีความอุดมสมบูรณ์  อย่างตัวอย่างท่านพระสิวลี

 

                        ท่านพระสิวลีนี้  ชาติหนึ่งเป็นชาวป่า  วันนั้นเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสมัมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระพุทธกัสสป  เทศน์บอกว่า

 

                        คนใดให้ทานด้วยตนเอง  เมื่อตายไปชาติหน้า  จะมีโภคสมบัติมากแต่ไม่มีบริวารสมบัติ (ตามที่เล่ามาแล้ว)

                        บุคคลใดชักชวนบุคคลอื่น แต่ไม่ให้ทานเอง  จะมีพวกมากแต่ว่ายากจน

                        ให้ทานเองด้วย ชวนบุคคลอื่นด้วย เกิดไปชาติหน้าเป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย

                        แล้วก็ ไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย ไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย  เกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม  ขอทานก็ยาก

 

                        ชาวบ้านจึงตั้งใจถวายทานกันอย่างหนัก มีทุกอย่าง แต่มันขาดน้ำผึ้งสด  หาเท่าไรก็ไม่ได้  ตั้งคนไว้ที่ประตูเมือง 4 ประตู  ให้เงินไว้ 1,000 กหาปณะ (เท่ากับ 4,000 บาทสมัยนี้)  บอกว่า  ?ถ้าใครเอาน้ำผึ้งสดมา นำรวงผึ้งสดมาจะซื้อ จาก 1 กหาปณะ ไปจนถึง 1,000 กหาปณะ?

 

                        พอดีท่านสิวลีเป็นชาวป่า  ท่านจะมาหาเพื่อนในเมือง  ไม่มีอะไรติดมือมาก็เลยเอาผึ้งมารวมงหนึ่ง  พอพวกนั้นเห็นเข้าก็ขอซื้อตั้งแต่ 1 กหาปณะ ถึง 1,000 กหาปณะ

 

                        ท่านบอกว่า  ?ฉันจะเอาไปให้เพื่อน?  ก็สงสัยว่า  ผึ้งรวงนี้จริง ๆ ราคาไม่ถึง 1 กหาปณะ  แต่เจ้าคนนี้ให้มาก ๆ  คงจะสติไม่ดีหรืออาจจะมีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น  มีความจำเป็น  จึงถามว่า

 

                        ?ทำไมพวกท่นสติไม่ดีรึ  ไอ้ผึ้งรวงหนึ่งราคาตั้ง 1,000 กหาปณะ  ใครเขาซื้อขายกัน  ราคามันไม่ถึง 1 กหาปณะ?

 

                        เขาก็บอกว่า  ?พวกเราจะทำบุญ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีหมด  มันขาดอยู่น้ำผึ้งสดอย่างเดียว  เราต้องการมีทุกอย่าง?

 

                        ท่านก็บอกว่า  ?ถ้าซื้อไม่ขาย  แต่จะเอาไปให้เพื่อน  แต่ว่าท่านจะให้ฉันร่วมบุญด้วย  ฉันให้?

 

                        ท่านสิวลีก็ให้เป็นการปิดรายการครบถ้วนพอดี  เขาขาดอย่างนั้น  ท่านปิดพอดี มันก็ปิดให้เต็ม

 

                        หลังจากชาตินั้นมาแล้ว  ท่านมาพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  เกิดในชาตินี้มาเกิดในชาติหลังนี่เขาบอกว่า  ท่านพระสิวลีนี่ไม่เคยมีโรคเลย  โรคภัยไข้เจ็บไม่เคยมี  เป็นพระที่มีลาภจริง ๆ  จะไปไหนก็ตาม  คนก็ดี เทวดาก็ดี  ปรารภพระสิวลี  ถ้าพระสิวลีไปด้วย ไม่มีคำว่าอด  จะมีความอุดมสมบูรณ์  แม้แต่เดินเข้าไปในป่าที่ไม่มีบ้าน

 

                        ในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเข้าไปเยี่ยมพระเรวัติในป่าสะแก  ที่ว่าเป็นน้องพระสารีบุตร  อายุ  7  ปี เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ  เวลาเดินเข้าไป  ตอนจะไปเจอะถึงทางสองแพร่ง  พระพุทธเจ้าจึงได้ถามพระอานนท์ว่า  ?อานนท์  ทางไปหาพระ
เรวัตไปทางไหน?  ความจริงท่านทราบ  พระอานนท์บอกว่า  ?ถ้าไปทางอ้อมทางนี้เดินทาง  60 โยชน์  มีบ้านบิณฑบาตรตลอด  ทางนี้เป็นทางตรง เดินไป 30 โยชน์ ไม่มีบ้านใส่บาตร?

 

                        สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงตรัสถามว่า  ?สิวลีมาหรือเปล่า?  แต่ความจริงท่านก็รู้ว่ามา  แต่ต้องการจะประกาศความดี

 

                        พระอานนท์ก็กราบทูลว่า  ?มาพระพุทธเจ้าข้า?

 

                        พอพระพุทธเจ้าตัดสินใจว่าจะไปทางตรงบรรดารุกขเทวดาและอากาศเทวดาทั้งหลาย   ต่างคนต่างปรารภว่าเวลานี้หลวงพ่อสิวลีของเรามา   ความจริงพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรก็ไป  พระพุทธเจ้าเสด็จด้วย  แต่เทวดาไม่ได้ปรารภถึงเลย  ปรารภเฉพาะท่านพระสิวลี  จึงเนรมิตเรือนแก้ว กุฏิเป็นที่พัก  วัดเป็นที่พัก สำหรับพระ 500 รูป  เป็นเรือนแก้วไว้แต่ละโยชน์ ๆ  1 โยชน์มี 1 วัด  สร้าง 30 วัด เป็น 30 โยชน์

 

                        เมื่อพระพุทธเจ้าไปถึงวัดต่าง ๆ  เขาก็แสดงตนเป็นคนธรรมดา  พระพุทธเจ้าท่านรู้  นิมนต์พักวัดท่านก็พัก  ตอนเช้าท่านนำอาหารการบริโภคเนรมิตจากจิตใจของเทวดา ไม่ต้องหุง  ถวายพระอิ่มหนำสำราญ  แต่การที่เขาถวายน่ะเขาปรารภพระสิวลีว่า  ?เราจะนำอาหารไปถวายหลวงพ่อสิวลีของเรา?  เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงสำนักของพระเรวัต

 

                        นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และญาติโยมพุทธบริษัท  ท่านพระสิวลีให้ทานด้วยรวงผึ้งรังเดียวปิดรายการแต่ชาติหลัง  ท่านมีความอุดมสมบูรณ์  คนที่มีความอุดมสมบูรณ์จะปฏิบัติธรรมมันก็ดี  ทำอะไรก็ดีทุกอย่าง  มีการคล่องตัว  รวมความว่า มีความปรารถนาสมหวัง  แม้แต่จิตใจคนบางประเภทก็ซื้อได้ แต่บางประเภทเราก็ซื้อใจเขาไม่ได้นะเงินน่ะ  แต่บางประเภทเวลานี้ฟุ่มเฟือยมาก  การซื้อก็ซื้อด้วยเงินสะดวก อันนี้มีประโยชน์มาก  ฉะนั้น  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทหรือเพื่อนภิกษุสามเณร  จงสนใจในการให้ทานให้มาก  เพราะว่าการให้ทานนี่ไม่ใช่จะหวังเฉพาะการร่ำรวยอย่างเดียว  การให้ทานเป็นปัจจัยของความสุข ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

 

                        การให้ทานนี่ขอพูดถึงอานิสงส์ของการให้ทานสักนิดหนึ่ง  คืออานิสงส์ของทานในชาติปัจจุบัน  เราจะเห็นได้ชัด ๆ จริง ๆ  นั่นก็คือว่า  ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ  คือว่าคนผู้ให้มีโอกาสชื่นใจว่า  เราได้ให้ทาน  แต่ว่าบางคนน่ะ บางพวก จอมอกตัญญูไม่รู้คุณคนนี่เยอะเหมือนกันนะ  อย่าลืมว่าผมโดนมาแล้ว  โดนมาตลอดชีวิต  ให้แล้วมันก็กัด  แต่ผมก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บ  ผมถือว่าเป็นความชั่วของเขา  ผมไม่ยอมชั่วด้วย  ไอ้ผมนั้นก็เลวอยู่แล้ว  ถ้าจะไปโกรธเขาเข้ามันจะเลวมากขึ้น  มันจะแบกไม่ไหว  เอาแค่ความเลวที่มีอยู่ มันก็เดินตุปัดตุเป๋ไปแล้ว  เวลานี้ผมเดินตุปัดตุเป๋ไม่ตรงทาง  หนักความชั่ว ความชั่วมีเยอะมหาศาล  แต่ว่าพวกนั้นเขากลั่นเขาแกล้ง  เขากินอิ่มเข้าไปแล้วเขาคิดจะฆ่าผม  คิดจะไล่ผม  เขาชุมนุมกันเยอะแยะ  เวลาที่พูดอยู่นี่ก็ยังมีร้องเรียนไปที่ไหน ๆ  ไปลงหนังสือพิมพ์ด่าบ้าง ฟ้องไปทุกระดับ  จนกระทั่งสำนักนายก  เขาหาว่าคนของผมโหดร้าย  แต่ผมไม่เคยแตะต้องอะไรเขาเลย  แต่พวกนี้เป็นอย่างไร  ได้ประโยชน์มากเลย  คิดว่าถ้าผมไปเสียแล้วเขาจะได้ประโยชน์จากผม  หมายความว่าคนจะมาหาเขา  เขาจะร่ำรวยเขานึกว่าผมรวย ก่อสร้างต่างๆ 

นา  ๆ ญาติโยมท่านให้สร้าง  ญาติโยมท่านให้เก็บ  แต่จริง ๆ การก่อสร้างนี่เหน็ดเหนื่อยหนักใจหนักกาย  แต่เพื่อความดีของญาติโยม  ผมไม่เหนื่อย ไม่หนัก  ผมปลื้มใจ  เพราะญาติโยมทำความดี  ทุกคนเขาจะพ้นทุกข์กัน  ฉะนั้น  เราจะกักให้เขาอยู่ในแดนความทุกข์ยังไง  ต้องสนองสนับสนุนตามที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนแบบไหน  เราทำกันแบบนั้น

 

                        นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน  ต้องจำไว้ว่า  การให้ทานน่ะมันก็มีการสะดุดแบบนี้  แต่เราจงอย่าคิด  คิดอย่างเดียวว่าจิตใจของเราเป็นสุข  สุขเพราะการเกื้อกูลแก่เพื่อน  ในเมื่อเราให้เขา  ถ้ามีคนรัก ไอ้คนรักเรามาก ๆ ก็มี ไม่ใช่เลว  คนเลวมันน้อยกว่าคนดี  ให้ทานแก่บุคคลที่รู้คุณคนนี่มี  แต่เราอย่าไปคิด  คิดอย่างเดียวให้ทานเพื่อเป็นการสงเคราะห์  เรามีน้อยเราให้น้อย  เรามีมากเราให้มาก  ให้พอควรอย่าให้เกินพอดี  อย่าให้เบียดเบียนตนเอง  อย่าให้ถึงกับตัวมีทุกข์  ผลแห่งการให้ทานจริง ๆ มันก็มีประโยชน์ใหญ่  ไปที่ไหนมีแต่คนรู้จัก  ความจริงเราไม่รู้จัก จำเขาไม่ได้หรอก  จำเขาไม่ได้จริง ๆ  อย่างพวกท่านก็เคยไปกับผม  ไปถึงญาติโยมก็มาหากัน  ไปถึงก็หลวงพ่อ  หลวงปู่  หลวงน้า  ผมมองหน้าผมจำไม่ได้   แต่ว่าท่านมาด้วยความดี ผมปลื้มใจ ผมก็ดีใจ  บางคราวท่านมากันมากในที่บางแห่ง  จนกระทั่งผมฉันข้าวไม่ได้  ฉันข้าวไม่ได้ไม่ใช่ญาติโยมจะมากวนใจผมหรอก ผมปลื้มใจในความดีของญาติโยม

 

                        นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย  การให้ทานน่ะ  ชาติปัจจุบันเราก็มีความสุขมาก  ทั้งนี้เพราะอะไร  มีคนเขาสนใจเรามาก ประคับประคองเรามาก  ป้องกันอันตรายให้  แต่อันตรายถ้ามันจะเกิดจากกฎของกรรม  ก็อย่าไปโทษว่าทานไม่ช่วยนะ  คิดไว้เสมอว่า  กรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อนมันตามมาเล่นงานเรายังไงก็ช่างมัน  ชาตินี้ทำหนีมันไปให้ได้  อันดับแรกเอาทานบารมีเข้าชนกับมันก่อน  เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราพอมีความสุข  คนที่เขาดีมีความกตัญญูรู้คุณ  เขาก็ให้การประคบประหงมเรา ให้ความสนิทสนมกับเรา  เป็นที่รักของเรา เราก็ชื่นใจในความสุข  เว้นไว้แต่คนจังไรที่มีความอกตัญญูไม่รู้คุณ  เขามีความทุกข์ปล่อยให้เขาทุกข์ไปฝ่ายเดียว  เราอย่าทุกข์กับเขา  ถ้ากำลังใจของเราอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นทานที่มีกำลังยิ่งใหญ่  ชาตินี้มีความสุข  ชาติหน้าจะยิ่งสุขยิ่งไปกว่านี้  ถ้าบังเอิญบารมีของเรายังไม่ถึงที่สุดในชาตินี้  ก็อาจจะไปตกในชาติหน้าอย่างท่านเมณฑกเศรษฐี กับคณะก็ได้

 

(คัดลอกมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ฉบับที่ 52 เรื่องบารมี 10)

 

(จากหนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 1)



**********************


อานิสงส์กฐินทาน

อานิสงส์กฐินทาน

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

                        ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11  ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12  เป็นเวลากาลที่จะทอดผ้าพระกฐินทาน  เหตุฉะนั้นในวันนี้อาตมาภาพจะได้นำเอาเรื่องราวของบุญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  ?ปุญญานิ  ปรโลกัสมิง  ปติฏฐา  โหนติ  ปาณินัง?  ซึ่งแปลเป็นใจความง่าย ๆ ว่า  ?บุญกุศลย่อมจะทำให้บุคคลมีความสุขต่อไปในภายภาคข้างหน้า?

 

                        ความมีอยู่ว่า  ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่  เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จประทับอยู่ในพระคันธกุฎีมหาวิหาร อันเป็นวิหารที่นางวิสาขาหาอุบาสิกาสร้างถวาย ตั้งอยู่ในเขตแห่งเมืองสาวัตถีคือเมืองสาเกต อันเป็นเขตพระราชฐานของพระราชา  มีนามว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์

 

                        เวลานั้นเป็นเวลาก่อนที่จะเข้าพรรษา  มีภิกษุชาวปาฐา  30  รูป  ตั้งใจไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เมืองสาเกต  อันเป็นเขตของเมือง
สาวัตถี  แต่ว่าเวลานั้นองค์สมเด็จพระมหามุนีได้มีพระพุทธฎีกาบัญญัติว่า  ถึงวาระเวลากาลฤดูฝนตั้งแต่กลางเดือน 8  ให้บรรดาภิกษุทั้งหลายหาที่พักจำพรรษาห้ามเดินไปในสถานที่อื่น  จนกว่าจะถึงวันกลางเดือน  11

 

                        ทั้งนี้เพราะว่าในสมัยก่อนนั้น  องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงบัญญัติฤดูกาลแห่งการจำพรรษา  ฉะนั้นจึงมีเหตุอยู่ว่า  เวลาฤดูฝนชาวบ้านเขาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารมาก  สาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบางท่านก็ดี  แต่บางท่านก็เต็มที  เพราะว่าไร้มารยาทเดินลัดทุ่งหญ้าทุ่งนา  เหยียบพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ชาวบ้านเขาปลูกไว้  ทำให้ต้นพืชต้นข้าวเขาเสียหาย

 

                        ต่อมาเมื่อมีคนตำหนิว่า  สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไร้มายาท ปราศจากความดี  ทำลายทรัพย์สินเหล่านี้ของเขาให้สิ้นไป  เหตุฉะนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ทรงบัญญัติว่า  ?ตั้งแต่ต้นฤดูฝน คือกลางเดือน 8  เป็นต้นไปให้  บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจำพรรษาสิ้นเวลา  3  เดือน  ถึงกลางเดือน  11?

 

                        เวลานั้นภิกษุชาวปาฐา  30 รูป จะเข้ามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เดินมาระหว่างทางไม่ทันจะถึง  ก็ปรากฎว่าถึงกลางเดือน  8  พอดี  จึงต้องหยุดพักจำพรรษาตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงอนุมัติ  คือการจำพรรษานั้นจะจำพรรษาที่บ้านทุ่งก็ได้  ที่บ้านร้างก็ได้  บ้านว่างก็ได้  ในโพรงไม้ก็ได้  อย่างนี้เป็นต้น  เพราะเป็นที่กันฝนได้  ครั้นเมื่อออกพรรษาภิกษุ  30  รูป  ทั้งหลายเหล่านั้นก็ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา

 

                        เวลานั้นพระพุทธเจ้าก็ยังทรงบัญญัติว่า  พระต้องมีผ้าแค่  3  ผืน  นั่นเอง สบง  1  ผืน  จีวร  1  ผืน  สังฆาฏิ  1 ผืน  และมีผ้าเกินคือผ้าอังสะอีก  1  ผืน  ใช้เป็นผ้าซับในกับรัดประคตเอว  มีเกินนอกนี้ไม่ได้  เหตุฉะนั้น บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเวลานั้นจึงมีผ้าจำกัด  เวลาที่จะเดินไปเฝ้าพระทรงสวัสดิโสภาคย์  ก็ต้องผ่านใบหญ้าใบไม้ที่เปียกชุ่มใบด้วยน้ำฝนและน้ำค้าง  สบงจีวรของท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เปียกชุ่มโชกไปในระหว่างทาง

 

                        พอไปถึงเมืองสาเกตุ  เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่  ครั้นเทศน์จบแล้ว  บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงพากันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครูก็ต้องเข้าไปทั้งที่เปียก ๆ  เพราะมันไม่มีผ้าจะผลัด  เมื่อเข้าไปแล้วก็ถวายนมัสการองค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์  แล้วก็นั่งอยู่

 

                        เวลานั้นนางวิสาขาเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครูอยู่พอดีครั้นเห็นบรรดาภิกษุชาวปาฐาทั้ง  30  รูปนี้  มีผ้าสบงจีวรเปียกโชกไปอย่างนั้น  จึงได้กราบทูลขอพรต่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  ?ภันเต  ภควา  ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ  พระพุทธเจ้าข้า  ต่อแต่นี้ไปข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพรจากพระผู้มีพระภาคว่า  ฤดูกาลหลังจากออกพรรษาแล้ว  ขอบรรดาประชาชนทั้งหลายมีโอกาสถวายผ้าไตรจีวรแก่คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา?

 

                        เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาได้สดับนั้นแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงอนุมัติ  แล้วก็ทรงประกาศให้บรรดาประชาชนถวายผ้าพระกฐินทานแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาครบไตรมาสในอาวาสนั้น ๆ ได้

 

                        นี่เป็นอันว่า  ต้นเหตุแห่งการทอดผ้าพระกฐินในศาสนานี้ก็มีนางวิสาขาเป็นคนแรก  สำหรับอานิสงส์กุศลบุญราศีในการถวายผ้าพระกฐินทานนี้  องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่ามีอานิสงส์มากเป็นกรณีพิเศษคือ  คนถวายผ้าพระกฐินทานหรือร่วมในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่ง  จะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกก็เป็นได้   จะปรารถนาพระนิพพานเพื่อเป็นพระอรหันต์ปกติก็เป็นได้

 

                        ยิ่งกว่านั้นไซร้  ก่อนที่บรรดาผลทั้งหลายเหล่านั้น คือความเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี  ความเป็นพระอัครสาวกก็ดี  หรือว่าเป็นอรหันต์สาวกก็ดี  จะมาถึง  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวว่า  ในขณะที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ  มีบารมียังไม่สูงดียังไม่พอที่จะบรรลุมรรคผลได้  อานิสงส์กฐินทานจะให้ผลตามนี้

 

                        กล่าวคือ  อันดับแรกเมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา  แล้วก็จะลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช  ปกครองประเทศทั่วโลก  มีมหาสมุทรทั้ง 4  เป็นขอบเขต  500  ชาติ

 

                        เมื่อบุญแห่งความเป็นพระมหาจักรพรรดิสิ้นไป  บุญก็หย่อนลงมา  จะได้เป็นพระมหากษัตริย์  500  ชาติ

 

                        หลังจากนั้นมา  เมื่อบุญแห่งความเป็นกษัตริย์ได้หมดไปก็จะเป็นมหาเศรษฐี  500  ชาติ

                       

บุญแห่งความเป็นมหาเศรษฐีหมดไป  ก็จะเป็นอนุเศรษฐี  500  ชาติ

                                                                                                                       

                        บุญแห่งความเป็นอนุเศรษฐีหมดไป  ก็จะเป็นคหบดี  500  ชาติ

 

                        รวมความแล้ว  สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสว่า  ?คนที่ทอดผ้าพระกฐินครั้งหนึ่งก็ดี  บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันจะหมด  ก็ปรากฎว่าท่านเจ้าของไปนิพพานก่อน?  เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรตรัสอย่างนี้แล้ว  จึงได้ตรัสอีกว่า  ?เราเทศน์คราวนี้  เทศน์ตามนัยที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดามีพระนามว่าปทุมุตตระ  ได้เทศน์ไว้เมื่อ  91  กัปป์มาแล้ว  พระองค์ก็รับรองว่าอานิสงส์เป็นอย่างนี้?

 

                        หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระมหามุนีจึงได้นำเอาเรื่องราวอดีตทาน  ซึ่งเป็นอัตตโนบุพกรรม  กล่าวคือ  เป็นกรรมของพระองค์มาตรัส  ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงตรัสว่า  ?ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ถอยหลังจากกัปป์นี้ไป  91  กัปป์  ถ้านับกัปป์นี้ด้วยก็เป็น 92 กัปป์  ยังมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงอุบัติขึ้นในโลก  มีพระนามว่า 
ปทุมุตระ  เวลานั้น พระปุมุตระได้แสดงพระธรรมเทศนาอานิสงส์กฐินตามที่กล่าวมาแล้ว?

 

                        ขณะนั้นเองปรากฎว่า  มีชายมหาทุคคตะคนหนึ่ง  คำว่า  มหาทุคคตะนี้จนมาก  เป็นทาสของท่านคหบดี  ได้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์  โดยนั่งอยู่ท้ายบริษัท  ฟังเทศน์ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เทศน์นั้น  ท่านเทศน์ตามนัยเมื่อกี้นี้  เมื่อฟังจบก็รู้สึกดีใจนักว่า  อานิสงส์กฐินนี่มากมายเหลือเกิน  แต่ว่าเราอยากจะทอดกฐิน เราก็เป็นเพียงทาสของเขา  เงินสักบาทหรือสลึงหนึ่งก็ไม่มี  ไอ้เครื่องแต่งกายของเรานี้มันก็แสนจะขาดแสนจะเก่า  เราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะมีโอกาสได้ทอดกฐิน  แต่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า  นอกจากจะเป็นเจ้าภาพแล้ว  ถ้าหากว่ามีการช่วยในการทอดกฐิน  เราก็มีอานิสงส์เหมือนกัน   ซึ่งองค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่า  ถึงแม้ว่าจะช่วยในการทอดกฐิน  จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้  เป็นพระอัครสาวกก็ได้  เป็นมหาสาวกก็ได้  เป็นปกติสาวกก็ได้  และนอกนั้นไซร้ก็ยังได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  เป็นกษัตริย์  เป็นมหาเศรษฐี  เป็นอนุเศรษฐี  เป็นคหบดี  ถ้ากระไรก็ดี  เราจะช่วยนายของเราทอดกฐิน

 

                        เมื่อดำริอย่างนี้แล้ว  ครั้นฟังเทศน์จากสมเด็จพระประทีบแก้วจบ  ชาวบ้านเขากลับ  ท่านมหาทุคคตะก็กลับเหมือนกัน  เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ชวนนายทอดกฐิน  พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง  นายฟังแล้วก็ดีใจว่า  เออหนออานิสงส์กฐินทานนี่มีอานิสงส์มาก  การถวายก็ไม่ยากเรามีผ้าจีวรผืนหนึ่ง  หรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่งก็ได้  จะถวายทั้งไตรก็ได้ ถวายมากก็ได้  ถวายน้อยก็ได้อานิสงส์เหมือนกัน  ฉะนั้น  ท่านนายจึงกล่าวว่า ?โภ ปุริสะ  ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ  ถ้ากระไรก็ดีทรัพย์สินของเรานี้มีอยู่  แต่ว่าการทอดกฐินเป็นของใหม่  เราไม่มีความเข้าใจ  ถ้าเธอจะให้ทอดกฐินทานก็จงเป็นผู้จัดการในการทอดกฐินก็แล้วกัน?

 

                        ท่านมหาทุคคตะก็จัดการทุกอย่าง  ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอะไรบ้างนอกจากนั้นของที่เกินออกไปจากของบริวารเจ้านายจะทำก็ตามใจทุกอย่าง  จนเสร็จภารกิจทุกประการ  เมื่อจัดการครบถ้วนเรียบร้อย  ถึงวันจะทอดกฐินท่านก็มานั่งนึกว่า  ไอ้ทรัพย์สมบัติหมดนี่เป็นของนายแต่ผู้เดียว  เรามีหน้าที่ในการจัดแต่ไม่มีส่วนในทานแม้แต่น้อยหนึ่งเลย  จึงได้เข้าไปในป่าเปลื้องเครื่องแต่งตัวออก  ถอดเสื้อเอากางเกงออก  กลัดใบไม้แล้วก็นุ่งใบไม้ห่มใบไม้แทน เข้าไปในร้านที่ตลาด  เอาเสื้อกับกางเกงนี่เข้าไปบอกเจ้าของร้านว่า  ไอ้เสื้อเก่า ๆ กางเกงเก่า ๆ ของฉันนี่มันจะแลกของอะไรได้บ้างหนอ  ของในร้านนี้เอาอะไรก็ได้ ฉันต้องการแต่เพียงอย่างเดียวที่ท่านจะพึงให้ได้

 

                        เจ้าของร้านมานั่งพิจารณาว่า  ไอ้ผ้าเก่า ๆ เสื้อเก่า ๆ มันก็เปื่อยแล้ว  จะไปเทียบกับอะไรมันก็ไม่ได้สักอย่าง  ก็เลยตัดสินใจให้ด้ายไปหนึ่งกลุ่ม ให้เข็มไปหนึ่งเล่ม แล้วก็บอกว่าเสื้อผ้าของท่านเหล่านี้  ความจริงราคามันก็ไม่เท่ากับเข็มหนึ่งเล่ม ด้ายหนึ่งกลุ่ม แต่ว่าในฐานะที่ท่านจะเอาไปทำบุญ  เราขอตัดสินใจให้  ฝ่ายท่านมหาทุคคตะท่านได้เท่านั้นท่านก็ดีใจ  ด้ายหนึ่งกลุ่ม เข็มหนึ่งเล่ม เอามาร่วมในการทอดผ้าพระกฐินทานกับเจ้านาย

 

                        เมื่อทอดผ้าพระกฐินทานเสร็จแล้วไซร้  องค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนา  กล่าวถึงอานิสงส์เมื่อกี้นี้เป็นเหตุ  ครั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวจบ คนทั้งหลายเขาก็กลับกันหมด  ท่านมหาทุคคตะก็คลานเข้าไปไหว้พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ  แล้วได้กล่าวคำมโนปณิธานตั้งความปรารถนาว่า ?ด้วยอานิสงส์บุญบารมี ที่ข้าพระพุทธเจ้ามีหน้าที่ขวนขวายในการจัดงานทอดผ้าพระกฐินทานก็ดี  และข้าพระพุทธเจ้าสละเสื้อผ้าอันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ข้าพระพุทธเจ้ามี  โดยแลกกับด้ายกลุ่มหนึ่งกับเข็มเล่มหนึ่ง เข้ามาร่วมในการทอดกฐิน  ขออานิสงส์กุศลบุญราศรีอันนี้ จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลเถิดพระพุทธเจ้าข้า?

 

                        เมื่อท่านมหาทุคคตะตั้งมโนปณิธานอย่างนั้นแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงพระนามว่าปทุมุตระ  ก็ทรงพิจารณาดูด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า  มหาทุคคตะคนนี้ปรารถนาพระโพธิญาณ  อยากจะทราบว่ามโนปณิธานความปรารถนาของเธอจะสำเร็จผลหรือไม่  หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงทราบว่า  หลังจากนี้ไป  ต่อไปอีก  91  กัปป์  มหาทุคคตะคนนี้จะไปเกิดเป็นลูกกษัตริย์ ที่กรุงกบิลพัสด์มหานคร  จอมบพิตรอดิศรจะได้นามว่า  สิทธัตถะราชกุมาร  หลังจากนั้นจะออกบำเพ็ญ  มหากษัตริย์จะได้เป็นพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม

 

                        เมื่อทรงทราบอย่างนี้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงพระนามว่า
ปทุมุตระ ก็ทรงประกาศคำพยากรณ์ให้ทราบ  ท่านมหาทุคคตะก็ดีใจกลับมาที่บ้าน  หลังจากนั้นไซร้  ท่านก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลบุญราศรีตามกำลังที่จะพึงมี  โดยนัยว่าทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้ของท่านไม่มี  เพราะท่านเป็นทาสเขา  แต่อานิสงส์ที่พาเจ้านายไปทอดผ้าพระกฐินทาน  เพราะอานิสงส์ที่พระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า  ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า พระสมณโคดม  จากนี้ไปอีก  91  กัปป์  เหตุนี้เป็นเหตุให้เจัานายมีความยินดี  ได้กล่าวว่า

 

                        ?มหาทุคคตะ  ความดีในการทอดผ้าพระกฐินทาน  พร้อมด้วยเครื่องบริวารที่เราจะได้โดยยาก  ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ต่อแต่นี้ไป  ถ้าเราจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้  เป็นอัครสาวกก็ได้  เป็นปกติสาวกก็ได้  แต่เวลาใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร  ในกาลข้างหน้า  ถ้าบุญบารมีนั้นยังไม่เต็ม  เราสามารถจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ถึง  500  ชาติ  เป็นอนุเศรษฐี  500 ชาติ  และเป็นคหบดี  500  ชาติ

 

                        แต่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ยังตรัสว่า  อานิสงส์ทั้งหลายเหล่านี้ยังได้ไม่หมด  ก็ปรากฎว่าบุคคลผู้เป็นเจ้าของกฐินทานและผู้ติดตามจะไปนิพพานก่อน  อาศัยที่ความดีขององค์สมเด็จพระชินวรทรงเทศน์  และเธอก็ได้แนะนำเราให้ปฏิบัติความดีที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อน  ฉะนั้น ความดีอันนี้ มหาทุคคตะ เราขอปล่อยท่านจากความเป็นทาส  คือนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  เจ้าก็จงเป็นไทไม่ต้องเป็นทาสต่อไป  และเราจะให้บ้านส่วนของเรา  100  หลัง เป็นที่เก็บส่วย  เป็นเครื่องทำมาหากิน  ให้ข้าทาสหญิงชายช้างม้าวัวควายพอสมควรแก่ฐานะ?

 

                        รวมความว่า  นับแต่เวลานั้นมา  ท่านมหาทุคคตะก็พ้นจากความเป็นมหาทุคคตะ  กลายเป็นคหบดีคนหนึ่ง  อยู่ในฐานะคหบดีมีเงินกิน มีเงินพอใช้พอสมควรแก่ฐานะ  และหลังจากนั้นมา  ท่านก็บำเพ็ญกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติ  เมื่อสิ้นอายุขัยเจ้านายของท่านก็ตาย  แล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกมีความสุข

 

                        สำหรับท่านมหาทุคคตะ  ได้เคยบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิญาณมาก่อน  และในตอนนี้องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า  บารมีเข้าขั้นเริ่มต้นปรมัตถบารมี  เหตุฉะนั้น  มหาทุคคตะคนนี้  เมื่อตายจากความเป็นคน  จึงไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต มีความสุข

 

 

                       
*******************
สู้สู้

ออฟไลน์ แกมแม่เนย

  • Meeting
  • จอมพลัง
  • *
  • กระทู้: 371
Re: อานิสงส์การทำบุญ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: วันจันทร์ที่ 05 กันยายน 2011 เวลา 20:57 น. »
ดีมากๆ เลย อนุโมทนาบุญนะคะคุณป๊อป
<ปัจจุบันรักษาโดยการผ่าตัด ทุเลาแต่ยังไม่หายขาด>

โอม ศรี คเณศายะ นะมะ ฮา
ขอบารมีองค์พ่อพิฆเนศ โปรดคุ้มครองเด็กๆ ทุกคนในเว็บลมชักคลับ ให้มีอาการดีขึ้นตามลำดับด้วยเถิด

ออฟไลน์ สุกัญญา รักฝูง

  • Jr. Member
  • *
  • กระทู้: 12
  • น้องน้ำข้าว
Re: อานิสงส์การทำบุญ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2012 เวลา 14:24 น. »
อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะคุณป๊อบ อ่านแล้วเพลินเลยค่ะ

 


Powered by EzPortal