ดีแล้วคุณแอน เข้มแข็งไว้นะคะ
1. การทานยาควรทานเวลาเดิมตลอดค่ะ แต่ถ้าติดขัดอย่างไร เร็ว-ช้าไปนิดหน่อยไม่เป็นไรค่ะ ครึ่ง ชม. ไม่มีปัญหาค่ะ
2, 3. จะใช้น้ำหวาน น้ำผึ้งก็ได้ค่ะ ดีกว่าใช้นมอีก เพราะยาบางตัวดูดซึมไม่ดีเมื่อทานกับนม ส่วนที่บอกว่าทานหวานไม่ดีกับลมชัก มาจากที่ว่าผู้ป่วยลมชักมีโอกาสรักษาให้ดีได้ด้วยอาหารคีโตจีนิคซึ่งเป็นอาหารที่จำกัดคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นสำหรับบางคนที่คุมชักด้วยยาได้ลำบาก หมออาจให้ทานหวานน้อยลงให้ใกล้เคียงอาหารคีโตจีนิคด้วยหวังว่าจะช่วยลดอาการชักลงได้ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ เพราะการที่ใช้คีโตจีนิคแล้วได้ผลในการลดการชักร่างกายต้องอยู่ในสภาวะ ketosis การลดความหวานหรือคาร์โบไฮเดรตลง แต่ถ้าไม่เพียงพอให้ร่างกายอยู่ในสภาวะ ketosis ก็ไม่น่าจะได้ผล สรุปแล้วคิดว่าถ้าไม่ได้เข้าโปรแกรมคีโตจีนิค ก็ทานตามปกติเหมือนคนทั่วไปดีกว่าค่ะ
ส่วนกระทู้ที่ทานหวานแล้วมีอาการมากขึ้นก็ของน้องเทรนด์ค่ะ น้องเทรนด์คุมชักด้วยอาหารคีโตจีนิคอยู่ ดังนั้นเมื่อทานหวานก็เหมือนไม่ได้ทานยา อาการก็เพิ่มขึ้นค่ะ
4. ทาน depakine หรือยาที่มีผลกับตับก็จะตรวจฟังก์ชั่นการทำงานของตับเรื่อยๆ ค่ะ เพื่อดูว่าตับมีปัญหาหรือไม่ ส่วนตรวจเวลาไหนอยู่ในดุลยพินิจของหมอ ส่วนใหญ่ 2-3 เดือน ตรวจครั้งค่ะ ถ้าหลายเดือนหมอไม่สั่งตรวจก็เตือนบ้างก็ได้ค่ะ เผื่อหมอลืม
5. บางทีดูดีขึ้น บางทีดูแย่ลง อยู่ที่คุณแอนคิดไปเองหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ใช่ก็เป็นไปได้ที่อาการยังไม่คงที่ อาจจะพยายามดีขึ้นแต่ก็มีอ่อนลงบ้างเนื่องจากยังชักอยู่ เรื่องเกี่ยวกับการมองเห็นพูดยากเหมือนกันเพราะระบบประสาทตาบางส่วนที่เสียไปไม่อาจกลับมาได้ แต่อย่าเพิ่งกังวลไป ยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรเสียไปหรือไม่ อาจไม่มีอะไรเสียหายเลยก็ได้เพียงแต่มาช้าไปนิด
6. การฝึกพัฒนาการของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันค่ะ จะโหดไม่โหด ขอให้กลับมาใช้ได้ก็โอเคหละค่ะ ไม่เห็นต้องเหมือนกันนี่คะ