เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฎาจารา น้ำตาที่มากกว่าห้วงมหาสมุทร (สูญเสียทั้งพ่อแม่สามีและลูกๆในเวลาใกล้กัน)  (อ่าน 2322 ครั้ง)

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
ปฎาจารา น้ำตาที่มากกว่าห้วงมหาสมุทร (สูญเสียทั้งพ่อแม่สามีและลูกๆในเวลาใกล้กัน)

ครานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มหาวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท โดยไม่มีใครคาดคิด หญิงบ้านางหนึ่งได้ปรากฎกายขึ้น ผมยาวสยายรุ่ยร่ายกระเซอะกระเซิง ร่างกายเปลือยเปล่า นางเดินฝ่าเข้ามาในท่ามกลางหมู่ชนที่สดับธรรม มุ่งตรงสู่พระผู้มีพระภาคเจ้า ปากก็รำพันว่า "ลูกของเราทั้งสองก็ตายแล้ว สามีก็ตาย พ่อแม่และพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน" นางพูดซ้ำๆ เพียงนี้ "หญิงบ้าๆ" ใครสักคนตะโกนขึ้น พวกเขาต่างพยายามขวางกั้นนาง เกรงว่าจะทำความรำคาญให้พระพุทธองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมานับแสนกัลป์ "เว้นเราเสีย ผู้อื่นที่ชื่อว่าจะเป็นที่พึ่งของหญิงนี้ ไม่มี" พระองค์ตรัสกับพุทธบริษัท ให้ปล่อยนางผู้มีทุกข์มหาศาลนั้น "จงได้สติเถิด น้องหญิง" ด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา เยือกเย็นด้วยพุทธานุภาพ ปฏาจาราผู้น่าสงสารก็ได้สติในบัดดล นางเกิดความละอายอย่างยิ่งจึงได้ย่อตัวนั่งลง บุรุษผู้หนึ่งยื่นผ้าห่มมาให้ นางรับมาห่มแล้วจึงคลานเข้าไปหมอบกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท น้ำตาเอ่อไหลดั่งสายน้ำ กราบทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่พระองค์ดังนี้...
นางนั้นเป็นธิดาของเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาหวงแหนนักเพราะนางมีหน้าตางดงาม จึงจัดให้นางอยู่ชั้นบนของปราสาท จะไปไหนก็ต้องขออนุญาตด้วยความยากลำบาก และมีคนรับใช้ตามเป็นขบวนสร้างความอึดอัดแก่นางยิ่งนัก พออายุได้ ๑๖ ปี นางเกิดหลงรักคนรับใช้ผู้ชายในบ้านและลอบได้เสียกัน ต่อมามีเศรษฐีมาสู่ขอนางให้บุตรชายของตน บิดามารดาก็เต็มใจยกให้ และต่างเตรียมงานอย่างใหญ่โต นางจึงกระวนกระวายจึงเรียกคนรักเข้าไปปรึกษา "หากฉันแต่งงานไป เราจะไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิตนี้ ถ้าเธอรักฉันจริงก็จงพาฉันหนีไปเถิด"
คืนนั้นทั้งสองนัดแนะกัน นางหยิบของมีค่าใส่ห่อ นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะรู้ว่าตนกำลังทำความผิดใหญ่หลวงแต่ความรักก็มีพลังอำนาจมากกว่าความรับผิดชอบชั่วดีใดๆ เช้ามืดก่อนอาทิตย์ขึ้น นางได้ปลอมตนเป็นทาสี ถือหม้อน้ำมุ่งตรงไปพบคนรักยังประตูเมือง
ทั้งสองหนีไปไกลพอสมควรก็ปักหลักสร้างกระท่อมอาศัยอยู่ราวป่าแห่งหนึ่ง ปลูกผัก ทำนาเลี้ยงชีพ นางผู้ไม่เคยทำงานตรากตรำมาก่อนจึงต้องพบกับความเหนื่อยยากแสนสาหัส แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความทุกข์ของนางเท่านั้น
แล้ววันหนึ่งนางก็ตั้งครรภ์ ด้วยความรักที่มีต่อลูกนางจึงบอกสามีว่า "ที่แห่งนี้ไม่มีญาติของฉันเลยสักคน พาฉันกลับไปยังบ้านของพ่อแม่ด้วยเถิด ป่านนี้ท่านคงยอมยกโทษให้เราแล้ว ฉันอยากกลับไปคลอดลูกที่นั่น"( ประเพณีของหญิงอินเดียที่ต้องกลับไปคลอดลูกที่บ้านแม่ตนเอง) แต่สามีกลัวความผิดจึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพานางกลับไป แม้นางจะอ้อนวอนสักเท่าไรก็ตาม จนกระทั่งนางท้องแก่มาก จึงตัดสินใจหนีกลับไปโดยลำพัง ฝ่ายสามีก็ออกตามหานางจนเจอนางที่กลางทางซึ่งทนปวดท้องไม่ไหวจึงคลอดลูกเป็นชายกลางป่านั่นเอง
ทั้งสามชีวิตพากันหอบหิ้วกลับไปยังกระท่อมดั่งเดิม ผ่านไปสองปี นางก็ตั้งครรภ์อีกและพยายามจะกลับไปบ้านตนอีกครั้งโดยจูงลูกชายคนโตมาด้วย ครานี้สามีตามมาทันแต่นางมิยอมกลับ ยืนยันที่จะเดินทางต่อไป ราวกลับโชคชะตากลั่นแกล้ง อยู่ๆเมฆฝนดำทะมึนได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มิใช่ฤดูฝน พายุพัดแรงทำให้ต้นไม้โอนเอนดั่งจะโค่น ท้องของนางเริ่มเขม็งเกลียว มันบีบรัดปวดจนแทบพูดไม่ออก นางกัดฟันร้องบอกสามีว่า "ทำที่กำบังฝนให้ฉันด้วย ฉันจะคลอดที่นี่" ฝ่ายสามีรีบเดินฝ่าพายุไปหาหญ้าคามาทำหลังคา นางและลูกเฝ้ารอคอยแต่เขามิได้กลับมาอีกเลย
ท่ามกลางพายุ นางคลอดลูกคนที่สองโดยลำพัง นางกอดลูกน้อยไว้แนบอก ก้มตัวลงคร่อมร่างบุตรคนแรกไว้เพื่อป้องกันฝนให้ลูก ต้องเผชิญกับความทุขเวทนาหนาวเหน็บเจ็บปวดปานจะขาดใจ จวบจนรุ่งเช้าฝนจึงซาเม็ด นางโผลุกขึ้นยืน ร่างกายเหมือนไม่มีโลหิต อุ้มลูกที่เพิ่งเกิดไว้ แล้วพาลูกคนโตไปตามหาพ่อ และที่ข้างจอมปลวกไม่ไกลนัก นางได้พบสามีนอนตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้นดิน ร่างกายเปียกโชกด้วยน้ำ นางและลูกวิ่งโผเข้าหา แต่เขาได้สิ้นใจเสียแล้วเพราะถูกงูพิษกัด นางได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญว่าเป็นเพราะนางทำให้สามีต้องตาย และลูกต้องเป็นกำพร้า
ด้วยใบหน้านองน้ำตา มือหนึ่งอุ้มทารก อีกมือจูงลูกชายโผเผพาลูกน้อยมุ่งหน้าสู่บ้านเดิมในสาวัตถี เมื่อมาถึงแม่น้ำอจิรวดี น้ำได้ขึ้นสูงถึงอก เพราะฝนที่ตกหนักตลอดคืน นางจึงบอกลูกคนโตที่ยังเล็กว่า " รอตรงนี้ก่อนนะแม่พาน้องข้ามไปก่อนเดี๋ยวจะมารับ" เมื่อข้ามไปถึงฝั่งโน้นแล้วก็วางลูกอ่อนไว้แล้วลุยน้ำข้ามกลับไปรับลูกคนโต พอถึงกลางน้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นเด็กอ่อน จึงโฉบลงมาเอาลูกน้อยที่พึ่งเกิดไป นางตกใจยกมือขึ้นกวัดแกว่งส่งเสียงไล่มัน แต่เสียงน้ำที่เชี่ยวกรากกลบเสียงนางเสียสิ้น ลูกคนโตยืนอยู่อีกฝั่งเห็นแม่ยกมือและตะโกน สำคัญผิดว่าแม่กวักมือเรียก ด้วยความไร้เดียงสาจึงเดินลงจากฝั่งไปหาแม่ กระแสน้ำได้กระชากเด็กน้อยจมหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ความปรานี ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสุดปัญญาที่นางจะทำอะไรได้ ด้วยหัวใจที่แตกสลาย นางเดินพลางร่ำไห้ประคองสติไว้แทบไม่อยู่จิตใจจดจ่อมุ่งกลับบ้านเกิด ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งสุดท้ายเมื่อเดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมาจากกรุงสาวัตถี จึงถามถึงพ่อแม่ของตน ชายกลับตอบว่าพายุอันรุนแรงเมื่อคืนได้ทำให้เกิดไฟไหม้และปราสาทพังทลายลงล้มทับเศรษฐี ภรรยาและบุตรชายถึงแก่ความตายทั้งหมด ขณะนี้ทุกคนถูกเผาอยู่บนเชิงตะกอนอันเดียวกัน ควันยังกรุ่นลอยปรากฎอยู่เลย สิ้นเสียงของชายผู้นั้น ความทุกข์โทมนัสอย่างสุดแสนสาหัสเข้าครอบงำจิตใจของนาง สติที่เหลือเพียงเส้นใยบางๆ ขาดสะบั้นลงทันที ความวิปลาศได้บังเกิด ผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ยไม่รู้ตัว นางเดินร้องไห้เปลือยกายดังคนวิกลจริตไปทั่ว ปากก็ร้องรำพันแต่ว่า "ลูกทั้งสองของเราตายเสียแล้ว สามีก็ตาย พ่อแม่และพี่ชายก็ถูกเผาบนตะกอนเดียวกัน " คนทั้งหลายต่างคิดว่านางเป็นหญิงบ้า เอาหยากเยื่อบ้าง ฝุ่นบ้างโรยลงบนศรีษะ บ้างก็เอาก้อนหินปา ผู้คนต่างเรียกนางว่า ปฎาจารา (แปลว่า ผู้ไปอย่างไม่มีผ้า)
พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับฟังเรื่องราวทั้งสิ้นที่นางเล่าถวาย สายพระเนตรซึ่งทอดมายังนางเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาต่อสัตว์ผู้ยาก พระองค์ตรัสขึ้นว่า
" ดูก่อน ปฎาจารา เธออย่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้วเลย หากควรทำปัจจุบันให้ถึงพร้อม บัดนี้สามีของเธอ ลูกทั้งสอง บิดามารดาและพี่ชาย เขาเหล่านั้นได้พากันจากเธอไปแล้ว ในเวลาที่บุคคลอันเป็นที่รัก มีบุตรเป็นต้นต้องตายลงในสงสารนี้ เธอก็ได้ร้องไห้คร่ำครวญมานานแสนนาน นับภพนับชาติไม่ได้ และยังจะต้องร้องไห้ต่อไปอีกหรือ น้ำตาของเธอมากกว่าน้ำในห้วงมหาสมุทรทั้งสี่ เหตุไรเธอยังประมาทอยู่ ไม่ว่าตัวเธอเอง ทุกคนในโลก หรือว่าตัวเรา จักต้องถึงซึ่งสภาพนั้นในที่สุด บิดา มารดา หรือบุตรก็ต้านทานป้องกันไม่ได้ คนเหล่านั้นถึงมีอยู่ก็เท่ากับไม่มี ดูก่อน ปฎาจารา บัดนี้เธอจงหยุด ความร่ำไรรำพันเสียเถิด จงดำรงตนอยู่ในอินทรยสังวรศีล ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด เพื่อใช้นำทางไปสู่พระนิพพาน เสียแต่บัดนี้ จึงจะเป็นการดี "พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อนมตัคคปรยายสูตร คือ เรื่องสงสารวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพระองค์ได้ตรัสพระคาถา เพื่อทรงแสดงธรรมให้ถูกกับนิสัยของนาง...
สิ้นพุทธวจนะ ปฎาจารามีความเข้าใจในทันทีว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา นางได้บังเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน นางกราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา เมื่ออุปสมบทแล้วนางก็เจริญวิปัสสนายิ่งขึ้นโดยไม่ประมาท
วันหนึ่งเมื่อกลับจากบิณฑบาต ขณะที่ท่านตักน้ำล้างเท้า สายน้ำที่ราดรดไหลไปได้หน่อยก็ไหลซึมลงในดิน พอราดครั้งที่สองสายน้ำไหลเลยมากกว่าครั้งแรก พอราดครั้งที่สาม สายน้ำไหลเลยแนวที่สองไปแล้วซึมลงดิน
ท่านจึงถือเอาสายน้ำที่ราดรดทั้งสามครั้งเป็นอารมณ์กำหนดดูว่า สัตว์บางพวกตายเสียในปฐมวัย คือวัยต้นก็มี เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งแรก บางพวกตายใน มัชฌิมวัย คือวัยกลาง เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งที่สอง บางพวกตายในปัจฉิมวัย คือวัยสุดท้าย เปรียบได้กับน้ำที่เราเทในครั้งที่สาม
หากจิตละการยึดมั่นถือมั่นเสียแล้วก็จะปล่อยวาง จากอาสวะทั้งมวลได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมี ไปปรากฎเหมือนดังพระองค์ประทับยืนอยู่ เฉพาะหน้าท่านภิกษุณี ตรัสว่า "ดูก่อน ปฎาจารา ผู้ที่เห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไปแห่งขันธ์ห้า แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าผู้ที่มีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี แต่ไม่เห็นความเกิดขึ้นและเสี่อมไปแห่งขันธ์ห้านั้น "
ในเวลาจบพระพุทธดำรัส ท่านภิกษุณี ปฎาจาราได้บรรลุอรหัตผลทันที มีจิตหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน อันบริสุทธิ์ยิ่งแล้ว.


อ้างอิงจาก
http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3-74771.html
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2010 เวลา 22:55 น. โดย popja »
สู้สู้

 


Powered by EzPortal