แบ่งปันความรู้โรคลมชัก

สนทนาได้ความรู้ => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2012 เวลา 23:01 น.

หัวข้อ: พลังจิตใต้สำนึกกับการใช้ชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Thanks-Epi ที่ วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2012 เวลา 23:01 น.
http://board.palungjit.com/f9/พลังจิตใต้สำนึกกับการใช้ชีวิต-341060.html

ในแต่ละวันเราต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ยามหลับ สมองก็ยังประมวลผลของความคิดที่เกิดขึ้นมาอยู่ทั้งคืน

ถ้าสมองเราไม่รู้จักกำจัดขยะส่วนเกินออก ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องที่มีเอกสารรกรุงรังเต็มไปหมด และในแต่ละวันก็ยังมีเอกสารใหม่ ๆ ส่งเข้ามาอีกมากมาย สมองจะเก็บรวบรวมเอกสารที่คิดว่าสำคัญไว้อย่างเป็นระบบ หมวดหมู่ จนมากพอมันก็จะบีบอัดข้อมูลแปลงเป็นไฟล์แห่งความรู้สึก แล้วส่งต่อไปเก็บที่ฐานข้อมูลส่วนลึกที่เรียกว่า จิตใต้สำนึก

ดังนั้น ถ้าในแต่ละวันเราคิดไม่ดี คิดลบอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลที่สมองรวบรวมแล้วส่งไปที่จิตใต้สำนึก ก็จะเป็นความรู้สึกลบ พลังแห่งความรู้สึกนั้นจะเข้มข้นกว่าความคิดมาก เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกบีบอัดมาจากความคิดนับพันนับหมื่นความคิด

ในแต่ละวันเราจึงต้องพยายามระวังคำพูดหรือความคิดที่มีความหมายทางลบแฝงอยู่ เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบขึ้นเล็ก ๆ ทุกครั้งที่พูด คิด หรือทำ และในที่สุดมันจะหล่อหลอมกันเป็นพลังแห่งความคิดรู้สึกลบ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลรุนแรงกว่าที่คาด

ความคิดไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกได้ การตัดสินใจของคนเราเกือบร้อยละเก้าสิบมาจากความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด พลังความรู้สึกสูงกว่าพลังความคิดมาก เพราะมันออกมาจากส่วนของจิตใต้สำนึก

ลองมาใช้พลังจิตใต้สำนึกกับชีวิตประจำวันกันดีกว่า

1. ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่น ๆ ได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ

2. ในแต่ละวัน คุณจะรับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของความคิดคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา พยายามกำหนดสติ คัดเลือกเฉพาะความคิดในทางบวกให้เข้ามามีอิทธิพลต่อคุณ

3. จงบอกตัวเองอยู่เสมอว่า คุณสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ ชีวิตเป็นไปตามพลังความรู้สึก แม้ว่าจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เป็นกรรมเก่าฝังอยู่ในภวังคจิตก็ตาม คุณก็สามารถใช้ความคิดซึ่งเป็นกรรมปัจจุบันไปเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกเกิดจากความคิดจำนวนมากที่มาหลอมรวมกัน ดังนั้นในแต่ละวันพยายามคิดดีอยู่เสมอ ย้ำซ้ำ ๆ ลงไปจนเกิดเป็นความรู้สึกใหม่ที่ดี ไปลบล้างความรู้สึกลบที่ผุดขึ้นมาจากภวังคจิต

4. การให้ คือ การเพิ่ม ไม่ว่าสิ่งที่ให้จะเป็นลบหรือบวก ถ้าให้ลบกับคนอื่น ลบในตัวคุณก็จะเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณให้วิทยาทาน ให้ความรู้เป็นทาน ขณะที่คุณให้ จิตวิญญาณคุณก็จะเข้ามารับสิ่งนั้นด้วย ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด  ;D ยิ่งบริจาคยิ่งรวย  ;D

5. หากรู้สึกโกรธใครสักคน จงหมั่นคิดถึงเขาแต่ในทางดี ในที่สุดความรู้สึกโกรธจะหายไปเอง ความรู้สึกเป็นเรื่องของจิต แต่ความคิดเป็นเรื่องของสมอง คุณห้ามความรู้สึกไม่ได้ แต่ห้ามความคิดได้ ความคิดกับความรู้สึกแยกส่วนกัน ถ้ารู้สึกลบแล้วคิดบวก เหมือนน้ำที่ราดบนกองไฟ แต่ถ้ารู้สึกลบแล้วยังคิดลบ จะเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ

6. จงพยายามฝึกมองส่วนบวกที่ซ่อนอยู่ในลบ ฝึกจนเกิดความสามารถพิเศษ เพราะคนที่จะเป็นอัจฉริยะได้ต้องมีความสามารถพิเศษนี้ สิ่งลบ ๆ ที่เกิดในชีวิตประจำมีมากมาย พยายามใช้ปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ ในวิกฤติย่อมมีโอกาส คนคิดบวกจะเห็นบวกที่ซ่อนอยู่ในลบ แต่คนคิดลบจะเห็นแต่ส่วนลบแม้สิ่งนั้นจะเป็นบวก

7. จงจำไว้ว่า ทุก ๆ คนมีแก้วสารพัดนึกอยู่ในตัว เพียงแต่บางคนเท่านั้นที่สามารถนำมันขึ้นมาใช้ได้ เพราะต้องมีเคล็ดลับบางอย่าง ซึ่งเคล็ดลับนั้นก็คือ ขอ เชื่อ รับ ของกระบวนการในเดอะซีเคร็ตนั่นเอง

8. ถ้าคิดลบต่อเหตุการณ์ใด จะดึงดูดให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง คุณจึงเห็นคนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง นั่นเป็นเพราะยังไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงวิธีคิด

 :) :)
ถ้าถามต่ายว่า ต่ายคุมชักได้อย่างไร ในเมื่อ คลื่นชักมากขนาดนั้น  ต่ายไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เพราะตอนที่ตรวจคลื่นชัก ต่ายเองยังตกใจไม่น้อย   (ต่ายเองก็ไม่ได้รู้จากตำรา หรือมีใครสรุปให้มาก่อน   ตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องศาสนาก็ว่าได้)
 
        " ความคิดมาแรงดึงดูด" นี้ สามารถอธิบายลงได้ลึกเข้าไปอีก ในหน้งสือ เดอะท๊อปซีเคร็ต
ในเชิงของพุทธ เข้าใจมากกว่า แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ปฎิบัติธรรมได้ถึงอภิญญาก็ตาม

หรือการลดฟริเซี่ยมครั้งนี้(ครั้งที่ 2)  แล้วยังคงไว้ที่ 1เม็ดต่อวัน (จากเดิม 4 เม็ดต่อวัน)  อธิบายกันเป็นตัวหนังสือ คงต้องไม่พ้น เดอะท๊อปซีเคร็ต (น่าจะเข้าใจมากขึ้น) และกระทู้ http://www.lomchakclub.com/v9/index.php/topic,545.0.html  ที่กล่าวอธิบายคลื่นสมอง 4 กลุ่มใหญ่ๆ
.....ส่วนลึกลงไปอีก ต่ายเองก็ได้แต่คุยกับญาติธรรม ยังไม่ตัดสินในโพสต์อัพกระทู้ตัวเองเสียที...เพราะกลัวเข้าใจผิด ตีความหมายกันผิดไป เพราะที่นี่ไม่ใช่บอร์ดศาสนา

ฝากไว้แทนว่า  การฝึกรับรู้ลมหายใจ นี้เป็น แบบฝึกหัดเริ่มต้นแบบง่ายๆ ในขณะที่การฝึกรับรู้อารมณ์จะยากกว่า แต่ถ้าเราฝึกตัวรู้เรื่อง ลมหายใจ ได้ก็เสมือน ได้พัฒนาช่องทางการรับรู้อื่นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา(อานาปานสติภาวนา) โยคะ ซี่กง จึงเน้นความสำคัญเรื่อง การฝึกลมหายใจเหมือนกัน