แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
สนทนาได้ความรู้ => แชร์ประสบการณ์โรคลมชัก => ข้อความที่เริ่มโดย: stetirun ที่ วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2014 เวลา 03:12 น.
-
ขอเล่าหน่อยนะคะ คือว่า ลูกชักแบบเกร็งกระตุกทึ้งตัวเมื่อตอน 1ขวบครึ่ง เนื่องจากมีไข้หลังจากกลับจากฉีดวัคซีน ต่อมาชักครั้งที่สองตอน 2 ขวบ2เดือนโดยไม่มีไข้ หมอจึงวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักแบบเหม่อ เนื่องจากดิฉันได้เอาคริปที่ลูกมีท่าทางแปลกๆให้หมอดู
หลังจากที่หมอวินิจฉัยว่าเป็นลมชักแบบเหม่อ ก็เริ่มให้ยากันชักมากิน โดย
1. เริ่มจาก keppra 1.5 cc เช้า-เย็น (น้องหนัก 12 kg.) หลังกินมาเดือนแรก อาการแบบเหม่อหายไป พอเข้าเดือนที่สอง อาการชักแบบเหม่อเริ่มมา แต่ไม่บ่อย
2. พอหมอนัด follow up ตอนครบ2 เดือน จึงเพิ่มโดสเป็น 2cc เช้า-เย็นเพราน้องน้ำหนักขึ้นเป็น 12.1 kg. ( หมอเห็นว่า โดสยาน่าจะไม่ถึง)
3. แต่พอทานมาได้ไม่กี่วัน น้องก็มีอาการชักเหม่อเป็นชุดเกือบ 10 ครั้ง หมอจึงเพิ่มยาตัวที่สองคือ depakine 1.5 cc เช้า- เย็น , keppra 2.5 cc เช้า- เย็น
แต่อาการชักเหม่อก็ยังมีเยอะ จึงเพิ่ม keppra เป็น 3 cc.
แล้วค่อยนัดมาเจาะดูระดับยาของ depakine
4. ระหว่างนั้น น้องยังมีอาการชักเหม่ออยุ่เรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน หมอจึงให้เปลี่ยนเวลากินยาเป็น 3 เวลา คือ
6.00, 14.00, 22.00 ; depakine 1 cc, keppra 2cc
5. พอเจาะเลือดดูพบว่าระดับยาได้ถึง 107 แต่ยังมีอาการชักเหม่ออยู่เรื่อยๆ แถมจำนวนครั้งและระยะเวลามากขึ้น ( ดิฉันจดบันทึกเวลาและระยะเวลาชักเหม่อให้หมอดู) หมอจึง
ให้ลด depakine ลง ( หมอเห็นว่า depakine น่าจะไม่work และกลัวจะมีผลต่อตับ) และเพิ่ม keppra (หมอกลัวตอนลดยา depakine จะทำให้เกิดเกร็งกระตุกทั้งตัว ) และพิจารณาจะเพิ่มยาตัวที่ 3 คือ topamax เนื่องจากหมอเห็นว่าคุมชักไม่ได้ และระหว่างจะเพิ่มตัวที่ 3 แล้วลด depakine ลง ต้อง admit เพื่อดูอาการน้องด้วย เพราะหมอกลัวน้องจะชักทั้งตัว
6.00, 14.00 ; depakine 0.5 cc, keppra 3 cc
22.00 ; depakine 1 cc, keppra 3 cc
(น้องหนัก 12.7 kg)
ตอนนี้กินยาด้วยโดสนี้ อาการชักเหม่อก็ยังมาถี่ และระยะเวลานานพอสมควรอยู่
ที่เล่ามาทั้งหมด ขอความกรุณาสมาชิกช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ว่าดิฉันควรจะเพิ่มยาตัวที่ 3 ตามหมอบอกมั๊ย เพราะดิฉันกลัวว่ายาจะเยอะไปป่าว ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน จะเพิ่มยาตัวที่ 3 และยังสงสัยว่า จำเป็นต้อง admit เพื่อดูอาการระหว่างปรับยาตัวที่ 3 หรือป่าว คืองงว่า ทุกครั้งที่จะลดยาต้อง admit ด้วยหรอ
และตอนนี้เริ่มคิดจะไปหาหมออื่นดู เพื่อจะให้หมอช่วยประเมินอาการว่าที่รักษาแนวทางนี้มา มาถูกทางหรือป่าว รบกวนช่วยแนะนำหมอด้วยค่ะ หรือว่าไม่ควรหาหมอหลายคน เพราะจะสับสน
-
ตอนลูกผมเป็นผมก็กระวนกระวายใจแบบนี้แหละ ลูกผมทาน 3 ตัว คือ krappa และ sabril และหลังสุดก็เพิ่ม topamax ครับ อาการชักตอนนี้หายไป 2 เดือน ไม่ปรากฏให้เห็นเลยในตารางที่จดบันทึกครับ คาดว่าจะปรับลดยาอีกไม่นานนี้ เมื่อครบกำหนดนัดหมายเดือนหน้า
ภายในไม่ถึง 3 เดือน คงไม่เยอะน่ะครับ เพราะโรคลมชักนี้จะมีอาการแบบสลับกันไป ไม่เป็นแบบแผน อาการบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม ก็จะมีให้เห็นหลังจากนี้ แล้วแต่ว่ามันจะมารูปแบบไหนเท่านั้นเองครับ
อย่าตกใจครับ ควบคุมเรื่องไข้ให้ได้ อย่าให้มีไข้ หรือหวัดอะไรต่างๆ เป็นดีที่สุด เรื่อง admid นั้นจำเป็นครับ เพราะต้องเฝ้าสังเกตอาการ แต่บางทีการเฝ้าก็อาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ครับ โรคนี้บางทีถ้าจับจ้องดูมันก็จะไม่แสดงอาการ แต่ถ้าเผลอละก็อาจจะออกอาการให้เห็นจนเรากลัว ตั้งสติครับ แนวทางป้องกันต่างๆ และวิธีปฏิบัตก็มีในเว็บ ลองศึกษาดูครับ
อ๋อ เอกสารเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่างๆ ของยาในกลุ่มโรคชัก ผมเพิ่งโพสต์ไป อาจจะเป็นแนวทางให้ทราบถึงผลข้างเคียงในการใช้ยา แต่ละตัว ไม่แน่ใจว่ามีของคุณหรือไม่ ลองดูครับ
-
ยาตัวที่ 3 ให้หรือไม่คงต้องตามหมอว่ามาล่ะค่ะ แต่ถ้ายา 3 ตัวถามว่ามากไหม ก็ไม่มากมายอะไรสำหรับคนไข้ลมชักที่คุมอาการไม่ได้
เทคนิคการให้ยาของหมอแต่ละท่านไม่เหมือนกัน เมื่อรักษาหมอท่านไหนก็ต้องวางใจให้ปรับยา หมอจะวินิจฉัยว่าควรทำแบบใด การเปลี่ยนหมอบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีทำให้ความต่อเนื่องในการรักษาหายไป แต่หากรักษาไประยะหนึ่งคิดว่าไม่ได้ผล อาการไม่ดีขึ้น จะเปลี่ยนหมอก็ทำได้ ควรจดบันทึกอาการ การให้ยาทั้งหมดเพื่อหมอที่ดูแลท่านต่อไปจะได้รู้ประวัติด้วย
เรื่อง admit ปรับยาอยู่ที่เคสนั้นๆ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ดูที่ความรุนแรงของอาการ และประวัติการรักษาที่ผ่านมา ไม่จำเป็นที่ทุกครั้งที่ปรับยาจะต้อง admit ถ้าหมอใช้วิธีการถอนยาออกทีละน้อย สัปดาห์นึงลดลงสัก 0.5 cc หากเกิดอาการผิดปกติ หรือมีอาการมากกว่าเดิมก็ค่อยมาดูกันใหม่ ภายใน 1 เดือนก็จะลด depakine ได้หมด
ตอนนี้รักษาอยู่ที่ไหนคะ เรื่องแนะนำหมอบอกได้ว่ามีหลาย รพ.ที่มีหมอเชี่ยวชาญลมชักอยู่ ส่วนที่จะเลือกรักษาที่ไหน คงต้องแล้วแต่คุณstetirun พิจารณา
-
ไม่ทราบหมอหาสาเหตุอาการชักแล้วหรือยังคะเช่นทำMRI ,EEG จะได้ทราบสาเหตุอย่างของนัทเป็นแบบเหม่อ เคี้ยวปากมือสั่นๆนิดหน่อยตรวจแล้วมาจากการเรียงตัวของสมองซีกซ้ายผิดปรกติ. ตอนนี้ผ่าตัดแล้วค่ะทำEEG แล้วหลังผ่าไม่พบคลื่นชักตอนนี้อยู่ในขั้นตอนลดยาค่ะ จากkelps 6 cc+topamax 2เม็ดเช้าเย็น หมอให้ลดkappa ก่อนเดือนละ1cc ค่ะตอนนี้ลดมาได้5วันแล้วยังok อยู่ค่ะ บางทีถ้าเรารู้สาเหตุอาจหาทางรักษาได้เร็วขึ้นค่ะ
-
ขอบคุณทุกคำแนะนำนะคะ
คุณเย้าคะ ไม่ทราบว่านัองนัทอายุเท่าไหร่คะ เพราะน้องพินอายุ 2 ขวบ5 เดือน หมอบอกว่าการทำ mri จะดีที่สุดตอน2ขวบครึ่งเพราะสมองเจริญเต็มที่แล้ว ก็เลยยังไม่ได้ทำค่ะ ส่วน egg เคยตรวจเมืีอตอนชักเกร็งกระตุกครั้งแรก พบคลื่นชักที่สมองส่วนหน้าค่ะ
คุณ nong ค่ะ ตอนนี้รักษาที่พญาไท3 ค่ะ
คุณ krisky คะ ได้อ่านแล้ว ขอบคุณค่ะ
-
นัททำMRI ตั้งแต่ตอนชักครั้งแรกตอนน้อง7เดือนก็เห็นรอยโรคที่ซีกซ้ายเลยแล้วก็ทำอีกทีตอน4ขวบค่ะตอนนี้น้อง6ขวบแล้วค่ะนัทรักษาที่ รพ รามา ตั้งแต่แรกเลยค่ะ ตอนแรกหากะหมออนันนิตย์ แต่ตอนหลังมารักษากับหมอชัยยศค่ะ
-
อย่างไรก็อย่าลืม ของ ภาพการตรวจ MRI ด้วย น่ะครับ ให้เขาเขียนลง DVD หรือ cd แล้วเราก็ COPY ใส่แผ่นเอาไว้ เวลาไปหาหมออื่น หรือ ไปต่างประเทศกับลูก ควรมีไว้เป็นข้ออ้างอิง ผมใช้ CD แผ่นเล็ก เวลาเดินทางไกล กับครอบครัวและลูก เผื่อฉุกเฉิน จะได้เอาออกมาได้ ครับ หรือฝากไว้บน cloud ก็ได้ ง่ายดี จะได้ไม่ต้องพกพาไปด้วย
-
ตอนนี้น้องพินมารักษากับหมอชาครินทร์แล้วค่ะ ตรวจ mri ปกติ ตรวจ eeg แบบ 24 ชม. ก็ไม่พบคลื่นชัก ก็เลยไม่ทราบสาเหตุ
ปรัับยาเป็น keppra 2.5 cc *3 , depakine 0.8*0.8*1 cc , vimpat 1.5เม็ด *2
อาการดีขึ้น ~70% แต่ยังไม่หมด
ระยะหลังๆ น้องอาเจียนบ่อย เวลาอาเจียนมือจะสั่นๆ รวมทั้งชอบกัดฟันด้วย ก็เลยไม่แน่ใจว่านี่คืออาการชักเหม่อหรือเปล่า ไม่ทราบว่ามีใครพอช่วยแนะนำอะไรได้บ้างมั๊ยคะ
คุณเย้าคะ ไม่ทราบว่าหลังผ่าตัดน้องนัทแล้ว ทุกอย่างโอเคมั๊ยคะ พัฒนาการต่างๆ กลับมาเร็วมั๊ยคะ เช่น ด้านภาษา การเรียนรู้ รวมทึ้งที่ตรวจ eeg แล้วไม่พบคลื่นชักนั้น ไม่ทราบว่าตรวจแบบ 1 ชม หรือ 24 ชม คะ ขอรบกวนถามเยอะหน่อยนะคะ
-
อาการกัดฟันตรงนี้คุณหมอว่ายังไงคะ กัดตอนไหน ถี่มั้ย อาจจะต้องรอผู้มีประสบการณ์มาตอบว่า ถ้าลูกชักมีอาการกัดฟันร่วมหรือเปล่า ถ้าในเด็กทั่วไป การกัดฟันเป็นสัญญาณของความเครียด+คับค้องใจ
-
ตอนนี้น้องพินมารักษากับหมอชาครินทร์แล้วค่ะ ตรวจ mri ปกติ ตรวจ eeg แบบ 24 ชม. ก็ไม่พบคลื่นชัก ก็เลยไม่ทราบสาเหตุ
ปรัับยาเป็น keppra 2.5 cc *3 , depakine 0.8*0.8*1 cc , vimpat 1.5เม็ด *2
อาการดีขึ้น ~70% แต่ยังไม่หมด
ระยะหลังๆ น้องอาเจียนบ่อย เวลาอาเจียนมือจะสั่นๆ รวมทั้งชอบกัดฟันด้วย ก็เลยไม่แน่ใจว่านี่คืออาการชักเหม่อหรือเปล่า ไม่ทราบว่ามีใครพอช่วยแนะนำอะไรได้บ้างมั๊ยคะ
คุณเย้าคะ ไม่ทราบว่าหลังผ่าตัดน้องนัทแล้ว ทุกอย่างโอเคมั๊ยคะ พัฒนาการต่างๆ กลับมาเร็วมั๊ยคะ เช่น ด้านภาษา การเรียนรู้ รวมทึ้งที่ตรวจ eeg แล้วไม่พบคลื่นชักนั้น ไม่ทราบว่าตรวจแบบ 1 ชม หรือ 24 ชม คะ ขอรบกวนถามเยอะหน่อยนะคะ
อาเจียนเพราะอะไรครับ
ยาเยอะเกินไปหรือเปล่าครับ บางทีถ้ายาเยอะเกินไปก็มีโอกาสอาเจียนได้นะครับ
-
คุณป๊อบค่ะ พาน้องตรวจตรวจระดับยา ปรากฎว่าได้ 100 พอดีเลยค่ะ คุณหมอเลยสันนิฐานว่า น่าจะเป็นเพราะยาเยอะไปจริงๆ ตอนนี้ปรับนาลงมาแล้ว น้องไม่อาเจียนแล้วค่ะ
-
ตอนนี้น้องพินมารักษากับหมอชาครินทร์แล้วค่ะ
คุณหมอ โรงพยาบาลไหนครับ ขอเป็นข้อมูลหน่อยครับ
-
คุณหมอชาคินทร์ อยุ่ รพ.พระมงกุฏ กับ บำรุงราษฎร์ ค่ะ
-
ดีจังรู้สาเหตุแล้ว ขอให้น้องพินคุมอยู่ไวๆนะครับ
เท่าที่สังเกตเคยยาเยอะแล้วก็มีอาการอ๊วกก็มี หัวทิ่มก็มีครับ (คือหัวหนักครับ ลุกขึ้นมานั่งก็เอนไปเอนมาครับ แล้วก็จะลงไปนอนต่อ ไม่รู้เวียนหัวด้วยไหมตอนนั้น)
ส่วนเรื่องชักเหม่อ คล้ายๆกับอยู่ๆก็จะนิ่งเฉยไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เหมือนนั่งใจลอยหนะครับ
ถ้าคนช่างสังเกตจะรู้เลยว่าผิดปกติไป
ส่วนเหม่อนานเท่าไหร่ แต่ละคนไม่เท่ากันครับ แต่ตัว keppra นี้ช่วยแก้เรื่องเหม่อได้ครับ
-
หัวทิ่มก็มีครับ (คือหัวหนักครับ ลุกขึ้นมานั่งก็เอนไปเอนมาครับ แล้วก็จะลงไปนอนต่อ ไม่รู้เวียนหัวด้วยไหมตอนนั้น)
หัวทิ่มนี่ มาจากอาการคุมชักไม่ได้หรือเปล่า เพราะต่ายเป็นค่ะ หนักหัว (เกินคำว่าปวดหัว) จะนอนอย่างเดียว พยุงตัวไม่ได้ (ถึงต้องฝึก SI ช่วยด้วยนะค่ะ) แต่ส่วนนึงเวียนหัวจากยา เพราะง่วงมาก แต่จะหนักไปทางอาการหลังชัก
-
หัวทิ่มก็มีครับ (คือหัวหนักครับ ลุกขึ้นมานั่งก็เอนไปเอนมาครับ แล้วก็จะลงไปนอนต่อ ไม่รู้เวียนหัวด้วยไหมตอนนั้น)
หัวทิ่มนี่ มาจากอาการคุมชักไม่ได้หรือเปล่า เพราะต่ายเป็นค่ะ หนักหัว (เกินคำว่าปวดหัว) จะนอนอย่างเดียว พยุงตัวไม่ได้ (ถึงต้องฝึก SI ช่วยด้วยนะค่ะ) แต่ส่วนนึงเวียนหัวจากยา เพราะง่วงมาก แต่จะหนักไปทางอาการหลังชัก
ที่หัวทิ่มตอนนั้นคือเอนไปมา ทรงตัวไม่ค่อยอยู่ ลักษณะมึนยาหนะครับ
ตอนนั้นที่เป็นเพราะระดับยาสูงเกินไปมากครับ พอไปตรวจก็เลยให้หยุดยาไปก่อน
จนกว่าระดับยาจะลดถึงระดับปกติครับ ก็ค่อยๆฟื้น จนนั่งได้ดีไม่เอนไปมาหลังจากระดับยาลดลง
ถึงระดับปกติครับ แล้วก็กินยาต่อด้วยโดสที่น้อยลงครับพี่ต่าย