ขอเพิ่มหน่อยนะค่ะ จากการที่รักษาลูกมานานราว 1 ปีกว่า
และสังเกตุหลายๆอย่างจากการไปพบแพทย์ / บรรยาการผปค.หน้าห้องฝึกต่างๆผปค.ที่มีรายได้ค่อนข้างดี มักไม่ค่อยใส่ใจลูก สังเกตุลูก (ไม่ได้ต่อว่ากันนะค่ะ แต่เนื่องจากต่ายมีความเห็นว่าเกี่ยวกับรักษาชีวโมเลกุล)
...ใส่ใจ ต้องคู่กับเอาใจใส่ เอาใจลูกมาใส่ใจเรา
ซึ่งค่อนข้างตรงกับคำหมอว่า บอกว่า ได้ผลดี (แต่เป็นเพียงอาจจะมาจากบรรยากาศที่เครียดน้อยลง ) และรายงานไม่ได้ว่าดีอย่างไร
การสังเกตุอาการใช้เวลากันแทบทุก"นาที" ซึ่งผปค.ที่รายได้มากๆ มักไม่ค่อยมีเวลาตรงนี้ เนื่องจากทำงานหาเงินเป็นหลัก
หลังจากหยุดชีวโมเลกุลและไปเริ่มฝึกกันใหม่ เปลี่ยนกันไปตามสถานการณ์ที่ลูกควรจะฝึก ตอนนี้ลูกต่ายดีขึ้นมาก ดูกลมกลืนกับเด็กรุ่นต่ำกว่า (ซ้ำชั้น 1 ปี)
เริ่มเข้ากับเด็กเฮี้ยวๆ ได้พอบ้างแล้ว /เข้ากลุ่มใหญ่หลายคนยัง งงๆ อยู่
(รายละเอียดตรงนี้ค่อนข้างเยอะนะค่ะ เขียนได้แค่คร่าวๆ)
-----และไม่ต้องป้อนยาเมื่อไม่ได้ไปรร.แล้ว----ป้อนบางสถานการณ์ที่ต้องการความนิ่งเท่านั้น เช่น ไป รร. /ตัดผม/ฝึกพูด----
ทั้งๆที่แม่ยังต้องทำงานและเป็นลมชัก
(หวาดเสียวมากเลยค่ะเวลาพาลูกไปข้างนอก แล้วลืมทานยาลมชัก)
ทำให้การฝึกไม่ได้เต็มที่เต็มเวลา อีกทั้งเด็กเรียนแล้ว การบ้านก็เยอะ (ถือว่าฝึกน้อยนะค่ะ ไม่ตรงตามตารางที่กำหนด)
การมีเงินมากๆ ไม่ได้ทำให้ลูกต่ายดีขึ้นเลย แต่การมีเวลาให้ลูกมากๆ กับทำให้ลูกต่ายดีขึ้น
ไม่ว่าเด็กจะเป็นอะไร พิเศษ หรือป่วย ก็ล้วนใช้แนวทางเดียวกัน คือต้องพิเศษตามคำที่เรียก
ลูกต่ายเป็น พีดีดี หรือ ออทิสติกสเปคตรัมค่ะ สมาธิสั้นมีเพียงเล็กน้อย (อาจจะเป็นสมาธิสั้นเทียมหรือเปล่าไม่ทราบ) เพราะอาการสมาธิสั้นหายไปได้จากการไปออกกำลังกายช่วงปิดเทอม (แม่ต้องพก frisium เพิ่มไปค่ะ กันน๊อค เพราะต้องทานชาโออิชิทุกวัน มีคาเฟอีน ไม่งั้นแทบสลบ)
อาการซนต่างๆ ที่คล้ายสมาธิสั้นเป็นการหาทางออกให้ตัวเองของเด็กอย่างนึง
สำหรับผปค.ที่บ่นว่าลูกซน การซนมีหลายแบบ แต่ละแบบความหมายต่างกันไป (ขอให้สังเกตุและหาข้อมูลเพื่อตีความหมายนะค่ะ)