เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"  (อ่าน 8003 ครั้ง)

ออฟไลน์ fatchocolate

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 1
การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« เมื่อ: วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2013 เวลา 00:50 น. »
สวัสดีครับ สมาชิกลมชักคลับทุกคน
   สิ่งที่ผมจะเล่าทั้งหมดนี้(เรื่องมันยาวหน่อยนะครับ แต่ผมก็อยากให้อ่าน) เป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับผม(เบิร์ด)และแฟนของผม(มายด์) ก็เพื่อให้คนที่เพิ่งไปพบคุณหมอแล้วตรวจเจอว่าตัวเองหรือคนในครอบครัวเป็นโรคลมชักนั้น ได้นำข้อมูลที่ผมเล่า ไปเป็นอุทาหรณ์หรือนำไปประกอบการตัดสินใจที่จะทำการเลือกหมอที่จะทำการรักษาหรือวินิจฉัยโรคต่อไปนะครับ
      เพื่อให้สะดวกแก่การอ่านและเข้าใจ ผมจะเล่าเป็นช่วงเวลานะครับ
   17 ก.พ.56 เวลาประมาณ 23.30 น. - ผมพามายด์เข้ารับการรักษาที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อนะครับ) เนื่องด้วยตั้งแต่ 14-17 ก.พ.56 มายด์เค้ามีอาการหน้ามืด วูบ(บางครั้งก็มีอาการเห็นแสงสีดำวูบเข้ามา) เดินเซ มือ-เท้าชา อ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา และไอมาก จนเมื่อคืนวันที่ 17 ขณะที่หลับไปแล้วทั้ง 2 คน มายด์เรียกผมและบอกว่าร้อน ผมจึงพยุงมายด์ขึ้นนั่ง เพื่อที่จะสลับที่นอนให้มายด์มานอนที่ผม(เพราะอยู่ใกล้พัดลมมากกว่า) ขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนสลับหมอน มายด์ก็ล้มหงายหน้าขณะที่นั่งอยู่บนเตียง หัวมายด์ฟาดกับที่นอนแรงมาก(ยังดีที่ไม่โดนหัวเตียง) แล้วมายด์ก็นิ่งเงียบเหมือนคนหมดสติไปเลย ผมเรียกมายด์อยู่ประมาณ 5 วินาที มายด์ถึงจะรู้สึกตัว ผมเลยรีบพามายด์ไปหาหมอที่ รพ.ดังกล่าว พอถึง รพ. ผมก็เล่าอาการและเรื่องทั้งหมดให้คุณหมอที่อยู่เวรฟัง คุณหมอจึงขอเจาะเลือด รอผลอยู่ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง คุณหมอก็บอกว่า เกลือแร่ต่ำและความเข้มข้นของเลือดน้อยกว่าปกติ แต่ไม่อันตราย ให้นอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการ
   18 ก.พ.56 - คุณหมอเจ้าของไข้(คนละคนกะคุณหมอเวรเมื่อคืนวันที่ 17 นะครับ) ก็เข้ามาสอบถามอาการ ผมก็เล่าให้คุณหมอฟังอย่างละเอียดตั้งแต่มายด์เค้าเริ่มป่วย คุณหมอเลยทดสอบกับมายด์โดยการให้มายด์เดินต่อส้นเท้าและปลายเท้า ปรากฎว่ามายด์มีอาการเดินเซเล็กน้อย และอีกวิธีคือให้มายด์หลับตา แล้วยกแขนทั้ง 2 ข้าง ขนานกันยื่นไปข้างหน้าลำตัว สิ่งที่ผมเห็นคือแขนมายด์มีอาการสั่นและแกว่งเบาๆ(คือไม่อยู่นิ่งกับที่) คุณหมอก็บอกว่าอาการอย่างนี้มีอยู่ 2 อย่าง คือ ถ้าไม่ใช่เกี่ยวกับน้ำในหูไม่เท่ากัน ก็อาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง คุณหมอบอกว่าจะให้หมอที่เชี่ยวชาญในแต่ละโรคมาตรวจให้ละเอียดอีกที
      คุณหมอแต่ละแผนกเลยเข้ามาตรวจมายด์ทีละคน
   หมอหู คอ จมูก - พามายด์ไปทดสอบที่แผนก โดยหลายวิธี เช่น เปิดเสียงอื่นรบกวน แล้วให้มายด์พูดสิ่งที่ได้ยินขณะเปิดเสียงรบกวนนั้น ฯลฯ ใช้เวลาทดสอบสักพักใหญ่ๆ คุณหมอก็บอกว่าปกติดี ไม่มีอาการบ่งบอกว่าเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ภายในลำคอบวมแดง มีจุดห้อเลือดภายในลำคอ เกิดอาการไอมาก
   หมอระบบทางเดินหายใจ - ให้มายด์อ้าปากดูในลำคอ ใช้หูฟังฟังเสียงมายด์หายใจ ให้มายด์ออกเสียง "อา" ยาวๆ ให้ลองไอ ฯลฯ คุณหมอบอกว่าภายในลำคอแดงมาก เสียงหายใจไม่ค่อยดี น่าจะติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง จนทำให้เป็นภูมิแพ้เรื้อรัง หลังจากออกจาก รพ.แล้ว ก็นัดดูอาการอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ เพื่อรักษาโรคภูมิแพ้
   หมอระบบประสาท - มาตรวจโดยการทดสอบ เช่น ให้มายด์มองตามปลายนิ้วคุณหมอ ให้มายด์เอานิ้วชี้มายด์แตะปลายจมูกตัวเอง แล้วไปแตะปลายนิ้วคุณหมอ ผลการทดสอบคุณหมอบอกว่าก็ปกติดี แต่จะให้ทำ EEG เพื่อตรวจให้ละเอียดต่อไป
   19 ก.พ.56 - คุณพยาบาลพามายด์ไปทำ EEG เมื่อทำเสร็จก็กลับมาพักที่ห้อง หลังจากนั้นคุณหมอระบบประสาทก็เข้ามาแจ้งว่า ต้องรอผลตรวจ EEG ประมาณ 2 อาทิตย์ เพราะต้องให้ รพ.รัฐ(ขอไม่เอ่ยชื่อเหมือนกันนะครับ)แห่งหนึ่ง อ่านผลตรวจให้
   ตอนนั้นผมก็เริ่มแปลกใจ ว่าทำไมต้องให้ รพ.อื่น อ่านผลให้ แต่ก็ไม่กล้าถามคุณหมอ คิดแค่ว่า คุณหมอคงให้หมอที่เชี่ยวชาญอ่านผล EEG ให้ ก็ดีแล้ว แฟนเราจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
   20 ก.พ.56 - คุณหมอระบบประสาทก็มาแจ้งที่ห้องว่า "ผลตรวจ EEG มาแล้ว คนไข้เป็นโรคลมชัก" ผมแปลกใจอยู่ 2 อย่างคือ 1.ทำไมผลตรวจถึงมาเร็ว ทั้งๆที่ตอนแรกคุณหมอบอกว่าต้องรอประมาณ 2 อาทิตย์ แต่ก็ไม่กล้าถามคุณหมอ กับ 2.ผมไม่รู้จักโรคนี้เลย นึกว่าหมายถึงอาการชักเกร็ง ผมเลยบอกคุณหมอว่า "แต่มายด์เค้าไม่เคยชักนะครับ จะเป็นโรคนี้ได้ยังไง?"(ถามแบบผู้ไม่รู้ข้อมูลของโรคลมชักเลย) คุณหมอก็อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับอาการต่างๆของโรคลมชัก และสรุปให้ฟังในตอนท้ายว่า ผลตรวจ EEG บ่งบอกว่ามายด์มีคลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติบริเวณหลังลูกตาขวา บวกกับตอนที่คุณหมอซักประวัติ มายด์ก็บอกว่ามีอาการต่างๆ รวมถึงอาการเห็นแสงสีดำวูบเข้ามา จึงน่าจะยืนยันได้ว่ามายด์เป็นโรคลมชัก และต่อไปนี้วิธีการรักษาก็คือ มายด์ต้องทานยากันชักต่อไปอย่างน้อย 2 ปี คุณหมอบอกผมว่ายากันชักมีหลายชนิด ให้ผมลองตัดสินใจดู ผมจึงบอกหมอว่าขอยาที่ดีและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด หมอจึงแนะนำ Keppra 500 แต่ประกันฯจะออกให้ได้แค่บางส่วน ผมยืนยันกับหมอว่าขอยาที่ดีที่สุด ค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องรองลงไป คุณหมอก็รับทราบ และเริ่มให้มายด์ทาน Keppra 500 ตั้งแต่วันนั้น(20 ก.พ.56 โดยให้ทานวันละ 2 ครั้ง คือ หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด) อย่างไรก็ตามคุณหมอจึงให้มายด์ไปทำ MRI ในช่วงบ่ายวันนั้น เพื่อที่จะได้ตรวจหารอยโรค หรือความผิดปกติของสมองเพิ่มเติมต่อไป
   มายด์เริ่มทาน Keppra 500 ตั้งแต่ 20 ก.พ.56 ร่วมกับยาอื่นๆอีกหลายตัว(เช่นยาแก้แพ้ ฯลฯ) ที่ได้ทานมาแล้วตั้งแต่วันแรกที่เข้า รพ. สิ่งที่ผมสังเกตุได้ตลอดเวลาที่มายด์อยู่ รพ.ก็คือ มายด์มีอาการอ่อนเพลีย นอนเยอะมาก ซึ่งผมตอนนั้นผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาต่างๆ หรืออาการของโรคกันแน่
   21 ก.พ.56 - ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญพยาธิวิทยาเดินมาพร้อมคุณหมอเจ้าของไข้ แล้วบอกว่า ผลตรวจ MRI ปกติดี ผมจึงถามให้แน่ใจว่า "เนื้อสมองปกติ ไม่มีเสียหายใช่มั้ยครับ?" เค้าก็บอกว่าปกติดีแน่นอน สมองดูดี ไม่มีอะไรเสียหาย
   ตอนนั้นผมก็นึกแปลกใจอีกอย่างนึงว่า ทำไมตอนที่ผลตรวจทั้ง EEG และ MRI ออกมา คุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญฯ ไม่นำมาอ่านให้ดูตรงหน้า เพื่อที่จะให้ผมและมายด์เข้าใจมากขึ้น
   22 ก.พ.56 - คุณหมอระบบประสาทเข้ามาแจ้งว่าออกจาก รพ.ได้ จากนี้จะนัดมาติดตามอาการเป็นระยะ และให้ยา Kappra 500 กลับไปทานเอง โดยทานเหมือนเดิมคือ หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด
   ตลอดระยะเวลาที่อยู่ใน รพ. คุณหมอทุกคนพูดเกี่ยวกับการอดนอน นอนดึก พักผ่อนน้อย และความเครียดของมายด์ โดยเฉพาะหลังจากที่ผลตรวจยืนยันว่ามายด์เป็นโรคลมชัก คุณหมอเจ้าของไข้และคุณหมอระบบประสาทก็ได้พูดย้ำว่า ความเครียดและการนอนดึกจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการชักได้ ผมจึงบอกคุณหมอว่าจะแก้ไขเรื่องการนอนดึกของมายด์ และจะให้มายด์ออกจากงาน(เพราะผมสังเกตุเห็นว่าที่ผ่านมา มายด์เครียดจากการทำงานมาก)
   หลังจากออกจาก รพ.มายด์ก็ยังคงทำงานอยู่นะครับ เพราะใบลาออกจะมีผลในอีก 2 เดือน นับจากที่ยื่นแล้ว ส่วนเรื่องอาการ(ผมเริ่มจดบันทึกาการของมายด์ทุกอย่าง) มายด์ก็ยังมีอาการวูบ หน้ามืด อ่อนเพลีย และไอเหมือนเดิมนะครับ จากนี้ไปผมจะขอไม่เล่าเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้(ยังไปรับการรักษาโรคภูมิแพ้เป็นระยะตามที่คุณหมอระบบทางเดินหายใจนัดอยู่เสมอ) จะขอเข้าเรื่องเกี่ยวกับโรคลมชักล้วนๆเลยนะครับ
   3 มี.ค.56 - ผมกับมายด์ไปพบหมอระบบประสาทที่ รพ. เล่าให้หมอฟังว่า ตั้งแต่ออกจาก รพ.(22 ก.พ.56) ถึง 2 มี.ค.56 มายด์มีอาการ
1.เบลอ สลึมสลือเวลาตื่นนอนทุกวัน
2.เห็นแสงสีขาววูบเข้ามา 2 ครั้ง คือวันที่ 23 ก.พ.56 และวันที่ 2 มี.ค.56
3.หน้ามืด,วูบ 3 ครั้ง คือวันที่ 24,26,28 ก.พ.56
4.เดินเซ ทรงตัวได้ไม่ดีในวันที่ 23 ก.พ.56
5.ปวดหัวบริเวณหลังเบ้าตาขวา 2 ครั้ง คือวันที่ 26,27 ก.พ.56
6.มือสั่นมาก(สั่นอยู่ประมาณครั้งละ 10 นาที) 2 ครั้ง คือวันที่ 25,27 ก.พ.56
   คุณหมอก็บอกว่า อาการเบลอเป็นผลข้างเคียงของยา ร่างกายคงต้องใช้เวลาปรับตัวกับยาประมาณ 2-3 เดือน แล้วก็จ่ายยา Keppra 500 กลับมาทานเหมือนเดิม และคุณหมอยังแนะนำให้ไปหาซื้อยา Keppra 500 จากร้านเภสัช เพราะมีราคาถูกกว่าของ รพ.
   หลังจากนั้นคุณหมอก็จ่ายยา Keppra 500 ตามสิทธิที่ประกันจ่ายให้ และผมก็ได้ไปหาซื้อยา Keppra 500 ตามร้านเภสัชเอง
   17 มี.ค.56 - มายด์ไปพบหมอระบบประสาทคนเดียว มายด์บอกคุณหมอว่ายังมีอาการเบลอ หน้ามืด และวูบอยู่บ้าง แต่น้อยลง(คงเป็นเพราะร่างกายปรับตัวกับยาได้ดีขึ้น) แต่ก็ยังมีอาการเห็นแสงสีขาววูบเข้ามาอยู่ 2-3 ครั้ง(ตั้งแต่ 3-16 มี.ค.56) คุณหมอจึงแจ้งว่าการที่มายด์เห็นแสงสีขาวอยู่นั้น แสดงว่ายังคุมชักได้ไม่ดี จึงให้เพิ่มขนาดยาเป็น หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 2 เม็ด
   หลังจากที่เพิ่มขนาดยา มายด์ก็มีอาการเหมือนตอนที่ได้รับยา Keppra 500 ใหม่ๆ(คงเป็นเพราะขนาดยาที่มากขึ้น) ผมสงสารมายด์มาก จำได้ว่าตอนนั้นเป็นทุกข์มาก พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคลมชัก และวิธีการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก จนมีช่วงนึงผมไปเจอหน้าเพจ facebook อันหนึ่งที่เกี่ยวกับโรคลมชัก ผมพิมพ์ปัญหาของผมกับมายด์ และขอคำแนะนำสำหรับโรคนี้ โพสทิ้งไว้ใน wallpost ของเพจนั้น จนมีน้องคนหนึ่งเข้ามาตอบ น้องเค้าชื่อน้องออยครับ ผมเพิ่งทราบภายหลังว่าน้องออยก็เป็นสมาชิก http://www.lomchakclub.com เหมือนกัน(ไอดี Tanisa) ผมจึงขอแอด facebook ขอน้องออย ผมแชทถามนู่นนี่น้องออยตลอดช่วงนั้น น้องออยให้คำแนะนำดีมาก เรื่องราวของน้องออยทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต่อสู่เพื่อมายด์ได้มากทีเดียวครับ และน้องออยยังมีน้ำใจ ส่งหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ"(น้องเค้าเขียนเองด้วยนะครับ) พร้อมกับหนังสือที่เกี่ยวกับโรคลมชักอีก 2 เล่มมาให้อ่านฟรี มาให้ผมกับมายด์อ่านอีกด้วยครับ
   ช่วงนั้น(ประมาณต้นเดือนเมษายน)ผมก็เริ่มมีความคิดอยากเปลี่ยน รพ.เพื่อรักษามายด์ เพราะอยากได้รับการรักษากับผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคลมชักจริงๆ ไม่ใช่ว่าที่ รพ.เดิมจะไม่ดีนะครับ แต่ผมพิจารณาจากการที่คุณหมอที่นั่นให้คุณหมอที่อื่นอ่านผล EEG ให้ หรือแม้แต่กระทั่งการไม่อ่านฟิล์ม MRI ต่อหน้าผมกับมายด์เพื่อให้ความกระจ่าง จึงทำให้ผมประหลาดใจและไม่มั่นใจที่จะรับการรักษาจาก รพ.เดิม จึงปรึกษาน้องออย น้องออยจึงแนะนำให้ไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า เพราะคุณหมอและพยาบาลเอาใจใส่ดีมากๆ
   ประกอบกับในวันที่ 5 เม.ย.56 ผมได้เข้ามาเจอ http://www.lomchakclub.com ได้อ่านกระทู้ที่มีประโยชน์หลายๆกระทู้ ผมได้เข้าไปที่หน้าแชทของเว็บ แล้วแชทถามเรื่อง รพ.ที่รักษาโรคลมชักโดยตรง ก็ได้รับคำตอบจากพี่น้อง(ไอดี NONG) ผมไม่ลังเลใจ รีบขอเบอร์พี่น้องเลย เพราะเห็นว่าพี่น้องมีจิตใจที่จะช่วยเหลือผมจริงๆ จากการที่เข้ามาตอบแชททันทีที่ผมถาม ผมโทรไปเล่าปัญหาของผมกับมายด์ให้พี่น้องฟัง ก็ได้รับคำแนะนำเหมือนที่น้องออยแนะนำคือ พี่น้องแนะนำให้ลองไปหา อ.โยธินฯ ที่ รพ.พระมงกุฎ หรือ รพ.กรุงเทพฯ รู้สึกถ้าจำไม่ผิดผมโทรไปหาพี่น้องอีกครั้งเมื่อ 6 เม.ย.56 ผมบอกพี่น้องว่าผมตัดสินใจจะพามายด์ไปรับการรักษากับ อ.โยธินฯ ที่ รพ.กรุงเทพฯ พี่น้องจึงแนะนำให้โทรไปขอคิวและทำบัตรผ่านทางโทรศัพท์ และผมได้คิวนัดพบ อ.โยธินฯ วันที่ 9 เม.ย.56
   9 เม.ย.56 - ได้ไปพบ อ.โยธินฯ ที่ รพ.กรุงเทพฯ ผมกับมายด์ได้เล่าอาการและเหตุการณ์ทั้งหมดให้ อ.ฟัง พร้อมกับเอาฟิล์ม MRI ให้ อ.ดู อ.ก็บอกว่าเนื้อสมองปกติดี อ.แนะนำให้ผมกับมายด์ไปขอผล EEG ที่ รพ.เดิม มาให้ อ.ดูในวันที่ 12 เม.ย.56 เพราะผล EEG เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่ามายด์เป็นโรคลมชัก และแนะนำให้ลดขนาดยา Keppra 500 จากเดิม หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 2 เม็ด เป็น หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด
   11 เม.ย.56 - ผมกับมายด์ไปขอประวัติการรักษา,ใบรับรองผล EEG จาก รพ.เดิม
   12 เม.ย.56 - ผมกับมายด์เอาใบรับรองผล EEG ที่แจ้งว่ามายด์มี Sharp wave กับกร๊าฟ EEG มาให้ อ.โยธินฯดู อ.แนะนำว่า ให้กลับไปขอกร๊าฟ EEG ที่บอกว่ามี Sharp wave มาให้ อ.ดูอีกครั้งในวันที่ 17 เม.ย.56 เพราะกร๊าฟที่ได้มา 13 หน้านั้น ไม่มีแผ่นไหนที่บ่งบอกว่าเป็นคลื่นลมชัก
   14 เม.ย.56 - ผมกับมายด์ไปพบคุณหมอระบบประสาทที่ รพ.เดิม ก็เล่าให้คุณหมอฟังอย่างตรงไปตรงมาว่า ได้ไปขอรับการรักษาจาก อ.โยธินฯ ที่ รพ.กรุงเทพฯแล้ว อ.โยธินแนะนำให้มาขอกร๊าฟ EEG ที่บ่งบอกว่ามีคลื่นลมชัก เพราะกร๊าฟ EEG ที่มาขอเมื่อวันที่ 11 เม.ย.56 ไม่ปรากฎว่ามีคลื่นลมชัก คุณหมอระบบประสาทจึงชี้กร๊าฟนั้น(เป็นเอกสารกร๊าฟจำนวน 13 แผ่น อันเดียวกับที่ให้ อ.โยธินดู) ให้ดูว่ากร๊าฟส่วนไหนเป็นคลื่นลมชัก ผมคิดประหลาดใจแล้วว่าทำไมคุณหมอ 2 ท่าน อ่านกร๊าฟใบเดียวกัน ให้ผลไม่ตรงกัน
   คุณหมอระบบประสาทก็แจ้งเพิ่มเติมว่ากรณีของมายด์ คุณหมอระบบประสาทเองกับคุณหมอต่าง รพ.อีกคน(คนเดียวกับที่อ่านผล EEG ให้ ตอนที่เข้ารับการรักษาที่ รพ.เดิม) อ่านกร๊าฟ EEG แล้วต่างลงความเห็นว่ามายด์เป็นโรคลมชัก ถ้าจะรักษากับคุณหมอต่อไปนั้น คุณหมอก็ยืนยันให้ทานยา Kappra 500 เหมือนเดิม คือ หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 2 เม็ด แต่คุณหมอก็บอกว่า อ.โยธินฯเป็นปรมาจารย์ของคุณหมอ คุณหมอยินดีคัดลอกแผ่น CD ผล EEG เพื่อให้ผมกับมายด์นำไปให้ อ.โยธินฯวินิจฉัยต่อไป
   17 เม.ย.56 - ผมกับมายด์เอา CD ผล EEG ไปให้ อ.โยธินฯดู และก็เล่าเหตุการณ์วันที่ 14 เม.ย.56 ให้ อ.ฟัง อ.ก็เปิดแผ่น CD อธิบายกร๊าฟ EEG อย่างละเอียดถึง 2 รอบ อ.ยืนยันว่ามายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชักแน่นอน แถมยังแปลกใจว่าทำไมคุณหมอที่อ่านผล EEG ให้มายด์ ถึงอ่านผลผิดพลาดทั้งๆที่คุณหมอท่านนี้เป็นบุคคลที่มีความชำนาญในการอ่านผล EEG เหมือนกัน
   อ.โยธินฯ จึงให้มายด์ลดขนาดยาลงเป็น หลังอาหารเช้าครึ่งเม็ด และก่อนนอนครึ่งเม็ด กินต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ แล้วให้หยุดยา และจะนัดมาทำ EEG พร้อมทั้งอ่านผลที่ รพ.กรุงเทพฯในวันที่ 15 พ.ค.56 ทีเดียว
   15 พ.ค.56 - คุณพยาบาลพามายด์ไปทำ EEG ตอนนั้นผมนั่งลุ้นมากเลยครับ ได้แต่ขอให้มายด์ไม่เป็นอะไร พอทำ EEG เสร็จ ก็นั่งพักสักพักหนึ่ง คุณพยาบาลก็มาตามผมกับมายด์ให้ไปพบ อ.โยธินฯ เพื่อฟังผลการทำ EEG อ.เปิดกร๊าฟให้ดูพร้อมทั้งอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดเป็นตอนๆ สรุปก็คือ อ.ยืนยันว่าผล EEG ปกติ มายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชัก แต่เพื่อความสบายใจของผมและมายด์ อ.โยธินฯเลยแนะนำให้กลับมาทำ EEG ในวันที่ 18 ธ.ค.56 อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่ามายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชักจริงๆ
   เมื่อออกมาจากห้องเพื่อรอใบนัด ผมกับมายด์ดีใจมาก มายด์ก็โทรหาพ่อแม่เค้า ผมก็โทรหาพี่น้องเพื่อบอกเล่าว่ามายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชักจริงๆ
   สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ก็อยากจะให้คนที่ได้อ่าน ได้เห็นว่าการเลือกคุณหมอที่จะทำการรักษาหรือวินิจฉัยโรค เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ไม่ใช่เฉพาะกับโรคนี้เท่านั้น อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการตรวจเช็คซ้ำ ว่าเราเป็นโรคนั้นๆจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็ต้องยอมรับและทำการรักษากันต่อไป ส่วนถ้าเป็นเหมือนในกรณีของมายด์ การวินิจฉัยโรคผิดพลาด อาจทำให้เราได้รับการรักษาที่ผิดวิธี ต้องกินยารักษาในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น เสียทั้งสุขภาพจิต เสียทั้งเงิน และเสียทั้งงานได้นะครับ ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกๆคนด้วยนะครับ
   ปล.ผมและมายด์ต้องขอบอกว่าไม่คิดจะโกรธหรือเอาเรื่องคุณหมอที่ รพ.เดิมเลย ผมเชื่อว่าไม่มีคุณหมอคนไหนอยากที่จะทำร้ายคนไข้ และขอขอบคุณที่คุณหมอ คุณพยาบาลที่ รพ.เดิม ที่ดูแลแฟนผมเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการรักษา
   และที่สำคัญต้องขอขอบคุณน้องออย(Tanisa)และพี่น้อง(NONG) ที่ให้คำปรึกษาดีๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และท้ายสุด ขอขอบคุณ อ.โยธิน  ชินวลัญช์ ที่ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับโรคนี้อย่างละเอียด ให้คำแนะนำและการดูแลเป็นอย่างดี ขณะที่มายด์เข้ารับการรักษานะครับ
   ขอให้ทั้ง 3 คน และสมาชิกลมชักคลับทุกคน ประสบแต่ความสุขความเจริญนะครับ

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2013 เวลา 01:32 น. »
ดีใจด้วยค่ะ คุณเบิร์ด คุณมายด์ ที่ได้ชีวิตเดิมกลับมา หลังจากที่ อ.โยธิน บอกคุณเบิร์ดว่าไม่ได้เป็นลมชัก บังเอิญมีโอกาสได้คุยกับ อ. ยังบอกว่าคุณมายด์ต้องลาออกจากงาน เพราะผลข้างเคียงของยา ทำให้หลับไม่สามารถไปทำงานได้ และคุณเบิร์ดมีความเป็นห่วงมากให้ลาออกจากงานแล้ว อ.ยังบ่นว่าไม่ควรเลย ไม่จำเป็นขนาดนั้น และที่สำคัญได้เป็นสักหน่อย
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์จริงๆ จำตอนที่คุณเบิร์ดโทรมาเล่าเสียงเครือถึงความเป็นห่วงคุณมายด์ได้ อาการที่เล่ามาก็ไม่เหมือนโรคลมชักสักเท่าไร แต่เพื่อความมั่นใจจึงอยากให้ตรวจดูอีกครั้ง
รักษาสุขภาพให้ดี ออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนการดูแลตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ ขอให้แข้งแรงขึ้นไวไวค่ะ

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2013 เวลา 08:42 น. »
พี่ ต่ายถึงว่า แยกบอร์ดย่อยดีมั้ยที่หมอวินิจฉัยผิด ตอนท่า แพงคิ้น ก็แค่ก้ำกึ่งไม่เหมือนลมชักเลย
ยังมีอีกหลายเคส ที่ตกไป

ต่ายก็ไม่เข้าใจนะ ที่หมอวินิจฉัยผิด แค่เล่าอาการ ก็ไม่น่าจะเหมือนแล้ว
เป็นข้อมูลต่างหาก ประกอบการพิจารณาว่า ควรเลือกตรวจ EGG ซ้ำหรือเปล่า

แม้ต่ายเอง อาการ overdose หมอก็ยังเคยวินิจฉัยว่า เป็นอาการลมชักเลย ต่ายเป็นคนไข้ ต่ายยังรู้เลยว่า ไม่ใช่ กำลังเมายาอยู่ ต้องขู่ฟอดๆ ว่า ไม่ลดยา จะเลิกกินทั้งหมด
งานนั้น เมาอยู่หลายเดือน ทรมานมากๆ   ต้องใช้วิธีขู่ถึงได้ผล
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2013 เวลา 22:30 น. »
เพิ่งเห็นกระทู้ค่ะ อิอิ ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน

พี่เบิร์ด กับ พี่มายด์ นี่เอง

ยินดีด้วยค่ะที่ผลEEGของพี่มายด์ปกติ และโชคดีมากๆที่ได้เจอหมอเก่งๆอย่างอ.โยธิน รู้สึกว่าอาจารย์ให้คำแนะนำดีมากๆ และเพื่อความแน่ใจยังนัดมาตรวจอีกทีด้วย ตอนนี้หยุดยากันชักหรือยังคะ ถ้าหยุดแล้วไม่มีอาการอะไรก็ดีแล้วค่ะ แต่อยากให้พี่เบิร์ดช่วยสังเกตอาการของพี่มายด์ด้วยนะคะ เพราะถ้าเป็นอาการชักบางทีคนไข้อาจจะไม่รู้สึกตัว เท่าที่อ่านมาบางอย่างก็คล้ายอาการชักอยู่ค่ะ แต่ก็อาจจะเป็นโรคอื่นได้ ไม่งั้นลองถามคุณหมออีกทีก็ได้ค่ะว่าอาการที่เคยเกิดขึ้น(ก่อนจะกินยา)น่าจะเกิดจากอะไร ถ้าเกิดเป็นโรคอื่นจะได้รีบรักษา ไม่อยากให้พี่เค้าวูบบ่อยๆ เดี๋ยวจะเกิดอันตรายได้ค่ะ

ยา Keppra(500) หนูก็ทานอยู่เหมือนกันค่ะ ทานวันละ5เม็ด(เช้า-เย็น ทีละสองเม็ดครึ่ง) กับ Lamictal(50) เช้าเย็น ครั้งละเม็ดค่ะ ที่อาจารย์เลือกยาตัวนี้ให้หนูเพราะตอนนี้เป็นยาที่ดีที่สุดใน รพ. เพราะมีผลต่อตับและไตน้อย แต่ต้องยอมรับค่ะว่ายาทุกตัวมีผลข้างเคียงหมด ตอนหนูกิน keppra แรกๆก็ ง่วง มึน เดินเซ(จนคนไข้ทักว่าเมารึเปล่า :-[) นอนทั้งวัน ช่วงที่เพิ่มยาก็เป็นเหมือนกันค่ะ ต้องทานซัก3-4เดือนถึงจะเริ่มชิน ตอนนี้ไม่ง่วงแล้วค่ะ แต่มีผลข้างเคียงอื่นแทน คือมีปัญหาวิตกกังวล ซึมเศร้ามากๆจนแทบจะฆ่าตัวตาย เพราะยาตัวนี้กินไปนานๆจะมีผลทางจิตค่ะ บางคนกินแล้วก็หงุดหงิด โมโหง่าย พฤติกรรมเปลี่ยน อาจารย์ที่รักษาโรคลมชักเคยคิดว่าจะเปลี่ยนยา แต่หนูเคยกินมาแล้วช่วงนึง(ยาDepakine) แต่คุมชักไม่ได้เลย สำหรับหนูคงต้องกิน Keppra ต่อไป และอาจารย์ได้แนะนำให้หนูปรึกษาจิตแพทย์ด้วย อาจารย์เลยช่วยติดต่ออาจารย์ภาควิชาจิตเวชที่ดูแลคนไข้ลมชักและอ่านEEGได้ ให้หนูไปรักษา ตอนนี้ออยก็ต้องไปพบจิตแพทย์เดือนละ3-4ครั้ง ต้องทานยาแก้อาการซึมเศร้าเพิ่ม แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากๆ ชักน้อยลง อารมณ์ดีขึ้น :D

เล่าให้ฟังไว้เผื่อเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยได้ ถ้าพี่มายด์ต้องกลับไปกินยาตัวเดิมอีก แต่บางคนก็ไม่ได้เจอผลข้างเคียงเหมือนกันเสมอไปค่ะ

ขอให้โชคดีนะคะ มีอะไรถามอีกได้เสมอค่ะ (เล่าซะยาวเหยียดเลย :P)
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Nongfafa048

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 1
Re: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 12:19 น. »
อยากเข้าพบอาจารย์โยธินบ้าง ต้องทำยังไง ติดต่อขอนัดคิวได้ที่ไหนคะ ลุกชายชักเยอะ รักษาหลายที่แล้วก็ไม่ดีขึ้น ลองทุกทางทุกวิธี แต่ไม่มีใครยอมผ่าตัดให้เลยค่ะ

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 20:34 น. »
ไม่ได้เข้าเวปมาอ่สน เจอกันใน FB ก่อนละ ยังไงก็ได้นัดตรวจกับ อ. โยธิน แล้วตามความตัองการ ขอให้โชคดีคุมชักได้โดยเร็ว

ออฟไลน์ withmysimplelife

  • Jr. Member
  • *
  • กระทู้: 24
Re: การเลือกหมอ สำคัญหรือไม่? "สำหรับผม มันสำคัญมาก"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2020 เวลา 11:19 น. »
สวัสดีค่ะคุณเบริด์
ยินดีสำหรับคุณมายด์ด้วยนะคะ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐค่ะ และคุณมายด์ก็โชคดีที่มีคุณค่ะ
ของเราถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเนื้องอกในสมอง โดยมีอาการนำคือการชัก รู้สึกโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่ไม่ปวดหัว

ตอนที่เข้าโรงพยาบาลตอนนั้นชักแบบสลบไปเลย หมอก็พาไปทำซีที และบอกว่ามีเนื้องอกอยู่ตรงขมับซ้าย
เขาบอกว่าจะผ่าตัดและจากนั้นจะส่งตัวไปรักษาที่ศูนย์มะเร็งเพื่อไปฉายแสงต่อ
เราตัดสินใจผ่าตัดเพราะพ่อแม่อยากให้ผ่า แต่เราปฏิเสธการฉายแสงค่ะ ก็ใช้ชีวิตเรื่อยมา
ชักบ้างไม่ชักบ้าง แต่อย่างที่คนอื่นๆบอกเลย
ความเครียดมีผลมาก ไม่ใช้แค่ทางจิตใจแต่ความเครียดส่งผลถึงร่างกาย
ตอนแรกเราโดดเดี่ยวพอควรค่ะ ใช้ชีวิตโดยไม่มีหมอให้ปรึกษาเลย
แต่น้องคนนึงเขาเป็นหมอแผนไทย แนะนำคลีนิคให้
เราก็ไปค่ะ เขาจะนัดเราทุกอาทิตย์ แถมเวลานอน ถามว่าฝันอะไรมั้ย มีอะไรผิดปกติในร่างกายหรือเปล่า
หมอแนะนำให้สวดมนต์ทำจิตใจให้สงบ และหมอคอยไล่ความร้อนให้ คอยกดจุดที่ปวดให้(เราปวดคอบ่าไหล่)
ตอนนั้นเราไม่ชักเลยนะคะ แต่ด้วยความที่คิดว่าไม่ชักแล้ว เลยไม่ไปหาหมอ
สุดท้ายก็ชักมาเรื่อย ห่างกัน2-3เดือนรวมๆตอนนี้ก็5ครั้งแล้วมั้ง
แต่ทุกครั้งที่ชักมาจากความเครียดหมด
เช่นโดนตัดเกรดไม่ดี โดนกลั่นแกล้งในบริษัท ทำเอทีเอ็มหายแล้วถูกกดเงินไปหมดเลย
ถ้าดูตามอาการแล้ว เราชัก3แบบ คือ
ชักสลบไปเลย แบบไม่รู้สึกตัว และไม่รู้เรื่องด้วยว่าชัก พอหายชักก็จะเบลอมาก
แบบจะโทรหาที่บ้านแต่หาปุ่มกดไม่เจอ (เวลาเข้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลก็จะบอกเหมือนกัน น้ำตาลในเลือดต่ำ)
ชักแบบรู้ตัวที่จะกระตุกแค่ช่วงคอขึ้นไป แต่แขนขาทำอะไรไม่ได้นะคะ แต่ว่าถ้ายืนอยู่ก็ไม่ล้ม
ชักแบบเหม่อ คือชักแบบที่เรารู้ว่าจะพูดอะไร และเรารู้ว่าเขาพูดอะไรกับเรา แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย
หมอบอกว่าถึงแม้ว่าเนื้องอกจะหายแล้ว(แต่ฉายแสงไม่ได้ทำให้หายไป แค่หยุดการเติบโต)ก็ต้องกินยากันชักอยู่ดี
เพราะถ้าเคยชักแล้วมันก็จะชักได้อีก

ตอนนี้เรากลับไปหาหมอแผนปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพราะว่าได้ยาฟรี ก่อนหน้าที่เราปฏิเสธการรักษา เราซื้อยากินเอง
หมอดูผลซีทีแสกน แล้วบอกกับเราว่า จริงๆแล้วไม่ต้องผ่านตัดก็ได้นะ ตอนนั้นก็แอบคิดว่า
ทำไมตอนนั้นเราไม่ขอความเห็นของหมอคนอื่นบ้างเลย ดีที่คุณเบริด์พยายามที่จะหาความจริง
และได้เจอหมอที่ให้ผลที่น่าพอใจค่ะ ตอนนี้เราเองก็อยากลองไปหาหมอโยธินช่วยดูบ้างแล้วเหมือนกัน
Dailantin 100mg 3เม็ดก่อนนอน
VALPARIN 200mg 3เวลาหลังอาหาร
Update :ไม่ชักมา5เดือนแล้ว

 


Powered by EzPortal