สวัสดีครับ สมาชิกลมชักคลับทุกคน
สิ่งที่ผมจะเล่าทั้งหมดนี้(เรื่องมันยาวหน่อยนะครับ แต่ผมก็อยากให้อ่าน) เป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับผม(เบิร์ด)และแฟนของผม(มายด์) ก็เพื่อให้คนที่เพิ่งไปพบคุณหมอแล้วตรวจเจอว่าตัวเองหรือคนในครอบครัวเป็นโรคลมชักนั้น ได้นำข้อมูลที่ผมเล่า ไปเป็นอุทาหรณ์หรือนำไปประกอบการตัดสินใจที่จะทำการเลือกหมอที่จะทำการรักษาหรือวินิจฉัยโรคต่อไปนะครับ
เพื่อให้สะดวกแก่การอ่านและเข้าใจ ผมจะเล่าเป็นช่วงเวลานะครับ
17 ก.พ.56 เวลาประมาณ 23.30 น. - ผมพามายด์เข้ารับการรักษาที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อนะครับ) เนื่องด้วยตั้งแต่ 14-17 ก.พ.56 มายด์เค้ามีอาการหน้ามืด วูบ(บางครั้งก็มีอาการเห็นแสงสีดำวูบเข้ามา) เดินเซ มือ-เท้าชา อ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา และไอมาก จนเมื่อคืนวันที่ 17 ขณะที่หลับไปแล้วทั้ง 2 คน มายด์เรียกผมและบอกว่าร้อน ผมจึงพยุงมายด์ขึ้นนั่ง เพื่อที่จะสลับที่นอนให้มายด์มานอนที่ผม(เพราะอยู่ใกล้พัดลมมากกว่า) ขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนสลับหมอน มายด์ก็ล้มหงายหน้าขณะที่นั่งอยู่บนเตียง หัวมายด์ฟาดกับที่นอนแรงมาก(ยังดีที่ไม่โดนหัวเตียง) แล้วมายด์ก็นิ่งเงียบเหมือนคนหมดสติไปเลย ผมเรียกมายด์อยู่ประมาณ 5 วินาที มายด์ถึงจะรู้สึกตัว ผมเลยรีบพามายด์ไปหาหมอที่ รพ.ดังกล่าว พอถึง รพ. ผมก็เล่าอาการและเรื่องทั้งหมดให้คุณหมอที่อยู่เวรฟัง คุณหมอจึงขอเจาะเลือด รอผลอยู่ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง คุณหมอก็บอกว่า เกลือแร่ต่ำและความเข้มข้นของเลือดน้อยกว่าปกติ แต่ไม่อันตราย ให้นอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการ
18 ก.พ.56 - คุณหมอเจ้าของไข้(คนละคนกะคุณหมอเวรเมื่อคืนวันที่ 17 นะครับ) ก็เข้ามาสอบถามอาการ ผมก็เล่าให้คุณหมอฟังอย่างละเอียดตั้งแต่มายด์เค้าเริ่มป่วย คุณหมอเลยทดสอบกับมายด์โดยการให้มายด์เดินต่อส้นเท้าและปลายเท้า ปรากฎว่ามายด์มีอาการเดินเซเล็กน้อย และอีกวิธีคือให้มายด์หลับตา แล้วยกแขนทั้ง 2 ข้าง ขนานกันยื่นไปข้างหน้าลำตัว สิ่งที่ผมเห็นคือแขนมายด์มีอาการสั่นและแกว่งเบาๆ(คือไม่อยู่นิ่งกับที่) คุณหมอก็บอกว่าอาการอย่างนี้มีอยู่ 2 อย่าง คือ ถ้าไม่ใช่เกี่ยวกับน้ำในหูไม่เท่ากัน ก็อาจจะเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง คุณหมอบอกว่าจะให้หมอที่เชี่ยวชาญในแต่ละโรคมาตรวจให้ละเอียดอีกที
คุณหมอแต่ละแผนกเลยเข้ามาตรวจมายด์ทีละคน
หมอหู คอ จมูก - พามายด์ไปทดสอบที่แผนก โดยหลายวิธี เช่น เปิดเสียงอื่นรบกวน แล้วให้มายด์พูดสิ่งที่ได้ยินขณะเปิดเสียงรบกวนนั้น ฯลฯ ใช้เวลาทดสอบสักพักใหญ่ๆ คุณหมอก็บอกว่าปกติดี ไม่มีอาการบ่งบอกว่าเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ภายในลำคอบวมแดง มีจุดห้อเลือดภายในลำคอ เกิดอาการไอมาก
หมอระบบทางเดินหายใจ - ให้มายด์อ้าปากดูในลำคอ ใช้หูฟังฟังเสียงมายด์หายใจ ให้มายด์ออกเสียง "อา" ยาวๆ ให้ลองไอ ฯลฯ คุณหมอบอกว่าภายในลำคอแดงมาก เสียงหายใจไม่ค่อยดี น่าจะติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง จนทำให้เป็นภูมิแพ้เรื้อรัง หลังจากออกจาก รพ.แล้ว ก็นัดดูอาการอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ เพื่อรักษาโรคภูมิแพ้
หมอระบบประสาท - มาตรวจโดยการทดสอบ เช่น ให้มายด์มองตามปลายนิ้วคุณหมอ ให้มายด์เอานิ้วชี้มายด์แตะปลายจมูกตัวเอง แล้วไปแตะปลายนิ้วคุณหมอ ผลการทดสอบคุณหมอบอกว่าก็ปกติดี แต่จะให้ทำ EEG เพื่อตรวจให้ละเอียดต่อไป
19 ก.พ.56 - คุณพยาบาลพามายด์ไปทำ EEG เมื่อทำเสร็จก็กลับมาพักที่ห้อง หลังจากนั้นคุณหมอระบบประสาทก็เข้ามาแจ้งว่า ต้องรอผลตรวจ EEG ประมาณ 2 อาทิตย์ เพราะต้องให้ รพ.รัฐ(ขอไม่เอ่ยชื่อเหมือนกันนะครับ)แห่งหนึ่ง อ่านผลตรวจให้
ตอนนั้นผมก็เริ่มแปลกใจ ว่าทำไมต้องให้ รพ.อื่น อ่านผลให้ แต่ก็ไม่กล้าถามคุณหมอ คิดแค่ว่า คุณหมอคงให้หมอที่เชี่ยวชาญอ่านผล EEG ให้ ก็ดีแล้ว แฟนเราจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
20 ก.พ.56 - คุณหมอระบบประสาทก็มาแจ้งที่ห้องว่า "ผลตรวจ EEG มาแล้ว คนไข้เป็นโรคลมชัก" ผมแปลกใจอยู่ 2 อย่างคือ 1.ทำไมผลตรวจถึงมาเร็ว ทั้งๆที่ตอนแรกคุณหมอบอกว่าต้องรอประมาณ 2 อาทิตย์ แต่ก็ไม่กล้าถามคุณหมอ กับ 2.ผมไม่รู้จักโรคนี้เลย นึกว่าหมายถึงอาการชักเกร็ง ผมเลยบอกคุณหมอว่า "แต่มายด์เค้าไม่เคยชักนะครับ จะเป็นโรคนี้ได้ยังไง?"(ถามแบบผู้ไม่รู้ข้อมูลของโรคลมชักเลย) คุณหมอก็อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับอาการต่างๆของโรคลมชัก และสรุปให้ฟังในตอนท้ายว่า ผลตรวจ EEG บ่งบอกว่ามายด์มีคลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติบริเวณหลังลูกตาขวา บวกกับตอนที่คุณหมอซักประวัติ มายด์ก็บอกว่ามีอาการต่างๆ รวมถึงอาการเห็นแสงสีดำวูบเข้ามา จึงน่าจะยืนยันได้ว่ามายด์เป็นโรคลมชัก และต่อไปนี้วิธีการรักษาก็คือ มายด์ต้องทานยากันชักต่อไปอย่างน้อย 2 ปี คุณหมอบอกผมว่ายากันชักมีหลายชนิด ให้ผมลองตัดสินใจดู ผมจึงบอกหมอว่าขอยาที่ดีและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด หมอจึงแนะนำ Keppra 500 แต่ประกันฯจะออกให้ได้แค่บางส่วน ผมยืนยันกับหมอว่าขอยาที่ดีที่สุด ค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องรองลงไป คุณหมอก็รับทราบ และเริ่มให้มายด์ทาน Keppra 500 ตั้งแต่วันนั้น(20 ก.พ.56 โดยให้ทานวันละ 2 ครั้ง คือ หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด) อย่างไรก็ตามคุณหมอจึงให้มายด์ไปทำ MRI ในช่วงบ่ายวันนั้น เพื่อที่จะได้ตรวจหารอยโรค หรือความผิดปกติของสมองเพิ่มเติมต่อไป
มายด์เริ่มทาน Keppra 500 ตั้งแต่ 20 ก.พ.56 ร่วมกับยาอื่นๆอีกหลายตัว(เช่นยาแก้แพ้ ฯลฯ) ที่ได้ทานมาแล้วตั้งแต่วันแรกที่เข้า รพ. สิ่งที่ผมสังเกตุได้ตลอดเวลาที่มายด์อยู่ รพ.ก็คือ มายด์มีอาการอ่อนเพลีย นอนเยอะมาก ซึ่งผมตอนนั้นผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาต่างๆ หรืออาการของโรคกันแน่
21 ก.พ.56 - ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญพยาธิวิทยาเดินมาพร้อมคุณหมอเจ้าของไข้ แล้วบอกว่า ผลตรวจ MRI ปกติดี ผมจึงถามให้แน่ใจว่า "เนื้อสมองปกติ ไม่มีเสียหายใช่มั้ยครับ?" เค้าก็บอกว่าปกติดีแน่นอน สมองดูดี ไม่มีอะไรเสียหาย
ตอนนั้นผมก็นึกแปลกใจอีกอย่างนึงว่า ทำไมตอนที่ผลตรวจทั้ง EEG และ MRI ออกมา คุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญฯ ไม่นำมาอ่านให้ดูตรงหน้า เพื่อที่จะให้ผมและมายด์เข้าใจมากขึ้น
22 ก.พ.56 - คุณหมอระบบประสาทเข้ามาแจ้งว่าออกจาก รพ.ได้ จากนี้จะนัดมาติดตามอาการเป็นระยะ และให้ยา Kappra 500 กลับไปทานเอง โดยทานเหมือนเดิมคือ หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ใน รพ. คุณหมอทุกคนพูดเกี่ยวกับการอดนอน นอนดึก พักผ่อนน้อย และความเครียดของมายด์ โดยเฉพาะหลังจากที่ผลตรวจยืนยันว่ามายด์เป็นโรคลมชัก คุณหมอเจ้าของไข้และคุณหมอระบบประสาทก็ได้พูดย้ำว่า ความเครียดและการนอนดึกจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการชักได้ ผมจึงบอกคุณหมอว่าจะแก้ไขเรื่องการนอนดึกของมายด์ และจะให้มายด์ออกจากงาน(เพราะผมสังเกตุเห็นว่าที่ผ่านมา มายด์เครียดจากการทำงานมาก)
หลังจากออกจาก รพ.มายด์ก็ยังคงทำงานอยู่นะครับ เพราะใบลาออกจะมีผลในอีก 2 เดือน นับจากที่ยื่นแล้ว ส่วนเรื่องอาการ(ผมเริ่มจดบันทึกาการของมายด์ทุกอย่าง) มายด์ก็ยังมีอาการวูบ หน้ามืด อ่อนเพลีย และไอเหมือนเดิมนะครับ จากนี้ไปผมจะขอไม่เล่าเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้(ยังไปรับการรักษาโรคภูมิแพ้เป็นระยะตามที่คุณหมอระบบทางเดินหายใจนัดอยู่เสมอ) จะขอเข้าเรื่องเกี่ยวกับโรคลมชักล้วนๆเลยนะครับ
3 มี.ค.56 - ผมกับมายด์ไปพบหมอระบบประสาทที่ รพ. เล่าให้หมอฟังว่า ตั้งแต่ออกจาก รพ.(22 ก.พ.56) ถึง 2 มี.ค.56 มายด์มีอาการ
1.เบลอ สลึมสลือเวลาตื่นนอนทุกวัน
2.เห็นแสงสีขาววูบเข้ามา 2 ครั้ง คือวันที่ 23 ก.พ.56 และวันที่ 2 มี.ค.56
3.หน้ามืด,วูบ 3 ครั้ง คือวันที่ 24,26,28 ก.พ.56
4.เดินเซ ทรงตัวได้ไม่ดีในวันที่ 23 ก.พ.56
5.ปวดหัวบริเวณหลังเบ้าตาขวา 2 ครั้ง คือวันที่ 26,27 ก.พ.56
6.มือสั่นมาก(สั่นอยู่ประมาณครั้งละ 10 นาที) 2 ครั้ง คือวันที่ 25,27 ก.พ.56
คุณหมอก็บอกว่า อาการเบลอเป็นผลข้างเคียงของยา ร่างกายคงต้องใช้เวลาปรับตัวกับยาประมาณ 2-3 เดือน แล้วก็จ่ายยา Keppra 500 กลับมาทานเหมือนเดิม และคุณหมอยังแนะนำให้ไปหาซื้อยา Keppra 500 จากร้านเภสัช เพราะมีราคาถูกกว่าของ รพ.
หลังจากนั้นคุณหมอก็จ่ายยา Keppra 500 ตามสิทธิที่ประกันจ่ายให้ และผมก็ได้ไปหาซื้อยา Keppra 500 ตามร้านเภสัชเอง
17 มี.ค.56 - มายด์ไปพบหมอระบบประสาทคนเดียว มายด์บอกคุณหมอว่ายังมีอาการเบลอ หน้ามืด และวูบอยู่บ้าง แต่น้อยลง(คงเป็นเพราะร่างกายปรับตัวกับยาได้ดีขึ้น) แต่ก็ยังมีอาการเห็นแสงสีขาววูบเข้ามาอยู่ 2-3 ครั้ง(ตั้งแต่ 3-16 มี.ค.56) คุณหมอจึงแจ้งว่าการที่มายด์เห็นแสงสีขาวอยู่นั้น แสดงว่ายังคุมชักได้ไม่ดี จึงให้เพิ่มขนาดยาเป็น หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 2 เม็ด
หลังจากที่เพิ่มขนาดยา มายด์ก็มีอาการเหมือนตอนที่ได้รับยา Keppra 500 ใหม่ๆ(คงเป็นเพราะขนาดยาที่มากขึ้น) ผมสงสารมายด์มาก จำได้ว่าตอนนั้นเป็นทุกข์มาก พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคลมชัก และวิธีการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก จนมีช่วงนึงผมไปเจอหน้าเพจ facebook อันหนึ่งที่เกี่ยวกับโรคลมชัก ผมพิมพ์ปัญหาของผมกับมายด์ และขอคำแนะนำสำหรับโรคนี้ โพสทิ้งไว้ใน wallpost ของเพจนั้น จนมีน้องคนหนึ่งเข้ามาตอบ น้องเค้าชื่อน้องออยครับ ผมเพิ่งทราบภายหลังว่าน้องออยก็เป็นสมาชิก
http://www.lomchakclub.com เหมือนกัน(ไอดี Tanisa) ผมจึงขอแอด facebook ขอน้องออย ผมแชทถามนู่นนี่น้องออยตลอดช่วงนั้น น้องออยให้คำแนะนำดีมาก เรื่องราวของน้องออยทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต่อสู่เพื่อมายด์ได้มากทีเดียวครับ และน้องออยยังมีน้ำใจ ส่งหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ"(น้องเค้าเขียนเองด้วยนะครับ) พร้อมกับหนังสือที่เกี่ยวกับโรคลมชักอีก 2 เล่มมาให้อ่านฟรี มาให้ผมกับมายด์อ่านอีกด้วยครับ
ช่วงนั้น(ประมาณต้นเดือนเมษายน)ผมก็เริ่มมีความคิดอยากเปลี่ยน รพ.เพื่อรักษามายด์ เพราะอยากได้รับการรักษากับผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคลมชักจริงๆ ไม่ใช่ว่าที่ รพ.เดิมจะไม่ดีนะครับ แต่ผมพิจารณาจากการที่คุณหมอที่นั่นให้คุณหมอที่อื่นอ่านผล EEG ให้ หรือแม้แต่กระทั่งการไม่อ่านฟิล์ม MRI ต่อหน้าผมกับมายด์เพื่อให้ความกระจ่าง จึงทำให้ผมประหลาดใจและไม่มั่นใจที่จะรับการรักษาจาก รพ.เดิม จึงปรึกษาน้องออย น้องออยจึงแนะนำให้ไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า เพราะคุณหมอและพยาบาลเอาใจใส่ดีมากๆ
ประกอบกับในวันที่ 5 เม.ย.56 ผมได้เข้ามาเจอ
http://www.lomchakclub.com ได้อ่านกระทู้ที่มีประโยชน์หลายๆกระทู้ ผมได้เข้าไปที่หน้าแชทของเว็บ แล้วแชทถามเรื่อง รพ.ที่รักษาโรคลมชักโดยตรง ก็ได้รับคำตอบจากพี่น้อง(ไอดี NONG) ผมไม่ลังเลใจ รีบขอเบอร์พี่น้องเลย เพราะเห็นว่าพี่น้องมีจิตใจที่จะช่วยเหลือผมจริงๆ จากการที่เข้ามาตอบแชททันทีที่ผมถาม ผมโทรไปเล่าปัญหาของผมกับมายด์ให้พี่น้องฟัง ก็ได้รับคำแนะนำเหมือนที่น้องออยแนะนำคือ พี่น้องแนะนำให้ลองไปหา อ.โยธินฯ ที่ รพ.พระมงกุฎ หรือ รพ.กรุงเทพฯ รู้สึกถ้าจำไม่ผิดผมโทรไปหาพี่น้องอีกครั้งเมื่อ 6 เม.ย.56 ผมบอกพี่น้องว่าผมตัดสินใจจะพามายด์ไปรับการรักษากับ อ.โยธินฯ ที่ รพ.กรุงเทพฯ พี่น้องจึงแนะนำให้โทรไปขอคิวและทำบัตรผ่านทางโทรศัพท์ และผมได้คิวนัดพบ อ.โยธินฯ วันที่ 9 เม.ย.56
9 เม.ย.56 - ได้ไปพบ อ.โยธินฯ ที่ รพ.กรุงเทพฯ ผมกับมายด์ได้เล่าอาการและเหตุการณ์ทั้งหมดให้ อ.ฟัง พร้อมกับเอาฟิล์ม MRI ให้ อ.ดู อ.ก็บอกว่าเนื้อสมองปกติดี อ.แนะนำให้ผมกับมายด์ไปขอผล EEG ที่ รพ.เดิม มาให้ อ.ดูในวันที่ 12 เม.ย.56 เพราะผล EEG เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่ามายด์เป็นโรคลมชัก และแนะนำให้ลดขนาดยา Keppra 500 จากเดิม หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 2 เม็ด เป็น หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 1 เม็ด
11 เม.ย.56 - ผมกับมายด์ไปขอประวัติการรักษา,ใบรับรองผล EEG จาก รพ.เดิม
12 เม.ย.56 - ผมกับมายด์เอาใบรับรองผล EEG ที่แจ้งว่ามายด์มี Sharp wave กับกร๊าฟ EEG มาให้ อ.โยธินฯดู อ.แนะนำว่า ให้กลับไปขอกร๊าฟ EEG ที่บอกว่ามี Sharp wave มาให้ อ.ดูอีกครั้งในวันที่ 17 เม.ย.56 เพราะกร๊าฟที่ได้มา 13 หน้านั้น ไม่มีแผ่นไหนที่บ่งบอกว่าเป็นคลื่นลมชัก
14 เม.ย.56 - ผมกับมายด์ไปพบคุณหมอระบบประสาทที่ รพ.เดิม ก็เล่าให้คุณหมอฟังอย่างตรงไปตรงมาว่า ได้ไปขอรับการรักษาจาก อ.โยธินฯ ที่ รพ.กรุงเทพฯแล้ว อ.โยธินแนะนำให้มาขอกร๊าฟ EEG ที่บ่งบอกว่ามีคลื่นลมชัก เพราะกร๊าฟ EEG ที่มาขอเมื่อวันที่ 11 เม.ย.56 ไม่ปรากฎว่ามีคลื่นลมชัก คุณหมอระบบประสาทจึงชี้กร๊าฟนั้น(เป็นเอกสารกร๊าฟจำนวน 13 แผ่น อันเดียวกับที่ให้ อ.โยธินดู) ให้ดูว่ากร๊าฟส่วนไหนเป็นคลื่นลมชัก ผมคิดประหลาดใจแล้วว่าทำไมคุณหมอ 2 ท่าน อ่านกร๊าฟใบเดียวกัน ให้ผลไม่ตรงกัน
คุณหมอระบบประสาทก็แจ้งเพิ่มเติมว่ากรณีของมายด์ คุณหมอระบบประสาทเองกับคุณหมอต่าง รพ.อีกคน(คนเดียวกับที่อ่านผล EEG ให้ ตอนที่เข้ารับการรักษาที่ รพ.เดิม) อ่านกร๊าฟ EEG แล้วต่างลงความเห็นว่ามายด์เป็นโรคลมชัก ถ้าจะรักษากับคุณหมอต่อไปนั้น คุณหมอก็ยืนยันให้ทานยา Kappra 500 เหมือนเดิม คือ หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และก่อนนอน 2 เม็ด แต่คุณหมอก็บอกว่า อ.โยธินฯเป็นปรมาจารย์ของคุณหมอ คุณหมอยินดีคัดลอกแผ่น CD ผล EEG เพื่อให้ผมกับมายด์นำไปให้ อ.โยธินฯวินิจฉัยต่อไป
17 เม.ย.56 - ผมกับมายด์เอา CD ผล EEG ไปให้ อ.โยธินฯดู และก็เล่าเหตุการณ์วันที่ 14 เม.ย.56 ให้ อ.ฟัง อ.ก็เปิดแผ่น CD อธิบายกร๊าฟ EEG อย่างละเอียดถึง 2 รอบ อ.ยืนยันว่ามายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชักแน่นอน แถมยังแปลกใจว่าทำไมคุณหมอที่อ่านผล EEG ให้มายด์ ถึงอ่านผลผิดพลาดทั้งๆที่คุณหมอท่านนี้เป็นบุคคลที่มีความชำนาญในการอ่านผล EEG เหมือนกัน
อ.โยธินฯ จึงให้มายด์ลดขนาดยาลงเป็น หลังอาหารเช้าครึ่งเม็ด และก่อนนอนครึ่งเม็ด กินต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ แล้วให้หยุดยา และจะนัดมาทำ EEG พร้อมทั้งอ่านผลที่ รพ.กรุงเทพฯในวันที่ 15 พ.ค.56 ทีเดียว
15 พ.ค.56 - คุณพยาบาลพามายด์ไปทำ EEG ตอนนั้นผมนั่งลุ้นมากเลยครับ ได้แต่ขอให้มายด์ไม่เป็นอะไร พอทำ EEG เสร็จ ก็นั่งพักสักพักหนึ่ง คุณพยาบาลก็มาตามผมกับมายด์ให้ไปพบ อ.โยธินฯ เพื่อฟังผลการทำ EEG อ.เปิดกร๊าฟให้ดูพร้อมทั้งอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดเป็นตอนๆ สรุปก็คือ อ.ยืนยันว่าผล EEG ปกติ มายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชัก แต่เพื่อความสบายใจของผมและมายด์ อ.โยธินฯเลยแนะนำให้กลับมาทำ EEG ในวันที่ 18 ธ.ค.56 อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่ามายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชักจริงๆ
เมื่อออกมาจากห้องเพื่อรอใบนัด ผมกับมายด์ดีใจมาก มายด์ก็โทรหาพ่อแม่เค้า ผมก็โทรหาพี่น้องเพื่อบอกเล่าว่ามายด์ไม่ได้เป็นโรคลมชักจริงๆ
สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ก็อยากจะให้คนที่ได้อ่าน ได้เห็นว่าการเลือกคุณหมอที่จะทำการรักษาหรือวินิจฉัยโรค เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ไม่ใช่เฉพาะกับโรคนี้เท่านั้น อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการตรวจเช็คซ้ำ ว่าเราเป็นโรคนั้นๆจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็ต้องยอมรับและทำการรักษากันต่อไป ส่วนถ้าเป็นเหมือนในกรณีของมายด์ การวินิจฉัยโรคผิดพลาด อาจทำให้เราได้รับการรักษาที่ผิดวิธี ต้องกินยารักษาในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น เสียทั้งสุขภาพจิต เสียทั้งเงิน และเสียทั้งงานได้นะครับ ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกๆคนด้วยนะครับ
ปล.ผมและมายด์ต้องขอบอกว่าไม่คิดจะโกรธหรือเอาเรื่องคุณหมอที่ รพ.เดิมเลย ผมเชื่อว่าไม่มีคุณหมอคนไหนอยากที่จะทำร้ายคนไข้ และขอขอบคุณที่คุณหมอ คุณพยาบาลที่ รพ.เดิม ที่ดูแลแฟนผมเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการรักษา
และที่สำคัญต้องขอขอบคุณน้องออย(Tanisa)และพี่น้อง(NONG) ที่ให้คำปรึกษาดีๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และท้ายสุด ขอขอบคุณ อ.โยธิน ชินวลัญช์ ที่ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับโรคนี้อย่างละเอียด ให้คำแนะนำและการดูแลเป็นอย่างดี ขณะที่มายด์เข้ารับการรักษานะครับ
ขอให้ทั้ง 3 คน และสมาชิกลมชักคลับทุกคน ประสบแต่ความสุขความเจริญนะครับ