เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: Vojta Therapy นวดกดจุด กระตุ้นส่วนประสาทระบบการเคลื่อนไหวที่มีปัญหาได้  (อ่าน 1994 ครั้ง)

ออฟไลน์ KATE

  • Meeting2
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 101
  • google ลูกรักของแม่เกด
กล่าวได้ว่า "ความสุข" ของคนเป็นพ่อแม่คือการได้เห็นลูกเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่มีลูกพิการทางสมอง และการเคลื่อนไหวที่ถึงแม้ความสุขของพวกเขาเหล่านี้ อาจไม่ได้มองไปไกลว่า ลูกจะต้องกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กทั่วไป เพียงแต่วันนี้แค่ลูกมีพัฒนาการ และเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น นั่นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว
       
โดยศาสตร์การบำบัดที่เข้ามาเติมความหวังให้กับเด็กสมองพิการทุกวันนี้ มีอยู่หลายศาสตร์ด้วยกัน แต่ศาสตร์ทางเลือกจากฝั่งยุโรปชื่อ โวจต้า เธอราปี (Vojta Therapy) นับเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจ เพราะเป็นการนวดกดจุดเก่าแก่ของประเทศเยอรมนีที่ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการสั่งงานระบบสมองจนทำให้แขนขาสามารถยืดคลายจากการหงิกเกร็งได้
       
       เทคนิคดังกล่าวนี้ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1960 โดยกุมารแพทย์ทางระบบประสาทชื่อ ศาสตราจารย์ นพ.วาคาลฟ โวจต้า และได้รับการสนับสนุนจาก ศาสตราจารย์ นพ.ธีโอดอร์ เฮลบรึกเก้ แห่งสถาบัน Kinderzentrum Muenchen (Children's center, Munich) จนมีการใช้อย่างแพร่หลายในยุโรปตั้งแต่ปี 1980 โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนีทั้งในด้านการตรวจคัดกรองหาเด็กแรกเกิดที่เสี่ยงต่อการมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้า และปัญหาโรคสมองพิการ
       
       ฟิออเบย์เลย์ และ อูเทอร์ เวสต์ฟิลด์ 2 ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาเด็กพิการด้านการเคลื่อนไหวจากสมาคมโวจต้า (Vojta) ประเทศเยอรมนี อธิบายถึงหลักการของโวจต้าว่า เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายแบบอัตโนมัติ (reflex Locomotion) ซึ่งเป็นรูปแบบการกระตุ้นด้วยมือ มีทั้งแรงกด และการยืดไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้เกิดการตอบสนอง และการเคลื่อนไหวของแขน ขา เป็นการใส่ข้อมูลเพื่อให้สมองเรียนรู้รูปแบบวิธีการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง หากทำการกระตุ้นการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติแบบซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างเส้นประสาทส่วนปลายสมอง และไขสันหลังขึ้นใหม่ได้ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงขวบปีแรกของการเติบโต
       
       "การบำบัดด้วยโวจต้า แตกต่างการรักษาแบบกดจุด หรือการรักษาด้วยการบำบัดชนิดอื่น ๆ รวมถึงการนวดกดจุดแบบจีน เพราะใช้วิธีกระตุ้นเฉพาะจุด และเน้นกระตุ้นส่วนประสาทระบบการเคลื่อนไหวที่มีปัญหา ไม่เกี่ยวกับเส้นลมปราณ ซึ่งก่อนกดตามจุดต่าง ๆ แพทย์จะมีการประเมิน และวิเคราะห์ก่อนว่าเด็กมีปัญหาอะไร ถ้ากระตุ้นตรงนี้แล้วช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนไหนขยับได้บ้าง" ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเยอรมนีเผยถึงความแตกต่าง
       
       สำหรับผลการรักษาหลังการบำบัดนฟิออยกตัวอย่างให้เห็นภาพจากกรณีเด็กไทยที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อคอและหลังวัยขวบเศษรายหนึ่งที่ไม่สามารถทรงตัวเองได้ กล่าวคือ เวลานอนคว่ำจะไม่สามารถค้ำยันน้ำหนักตัวให้ลุกขึ้นด้วยแขนเองได้ รวมไปถึงการบังคับกล้ามเนื้อคอบกพร่อง โดยหลังจากใช้วิธีบำบัดด้วยโวจต้า ประมาณ 2 เดือน เด็กมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถใช้ข้อศอกยกตัวเองขึ้นจากการนอนคว่ำ และกลิ้งตัวไปมาได้ รวมทั้งเอื้อมมือหยิบของจากมือคุณแม่ในทางตรงได้ค่อนข้างดี
       
       ยืนยันไดกรวรอัศวลาภนิรันดร หรือ คุณแม่ล้วน วัย 31 ปี คุณแม่ของน้องซันซัน ลูกสาววัย 2 ขวบ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่างข้างต้น บอกว่า ลูกมีพัฒนาการช้า คอไม่สามารถตั้งเองได้ ทำให้เวลาอุ้มต้องเอาหน้ายันคอลูกไว้ตลอด กระทั่งมารู้จักกับศาสตร์กระตุ้นการเคลื่อนไหวด้วยเทคนิคโวจต้าจากมูลนิธิซาย มูฟเม้นท์ จึงลองพาลูกไปบำบัดที่ประเทศเยอรมนี ผลปรากฏว่า อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
       
       "ก่อนทำการบำบัด แพทย์จะประเมินก่อน จากนั้นจะออกแบบท่าในการบำบัดที่เหมาะสม โดยทีมนักกายภาพจะค่อย ๆ ใช้แรงมือกดและยืดไปตามจุดต่าง ๆ พอทำไปได้สักระยะ เขาจะสอนให้เราไปฝึกใช้กับลูกที่บ้าน ซึ่งความถี่ในการทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน พอผ่านไป 1-2 เดือน กล้ามเนื้อคอของลูกแข็งแรงขึ้น เวลาอุ้มไม่ต้องเอาหน้ามาติดกับลูกเหมือนตอนแรก" คุณแม่ล้วนเล่า
       
      อย่างไรก็ดี ทางโรงพยาบาลกระดูก และข้อ มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ยังเคยใช้เทคนิคดังกล่าวนี้ในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวลำตัว และแขนขาแบบอัตโนมัติให้กับ ด.ช.ซายเค่อร์ ลี ลูกชายของคุณวอลเตอร์ ลี เด็กไทยที่พิการด้านการเคลื่อนไหวแต่กำเนิดรุนแรงเมื่อหลายปีก่อนจนตอนนี้กล้ามเนื้อขากลับมาแข็งแรง และสามารถเดินได้

นอกเหนือจากการบำบัดเพื่อช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวให้กับเด็กสมองพิการแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวให้กับเด็กที่ป่วยเป็นอัมพาตครึ่งซีก อัมพาตทั้งตัว กลุ่มที่มีปัญหาระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เด็กพิการแขนขาหายแต่กำเนิด ตลอดจนผู้ที่มีปัญหาการหายใจ การเคี้ยว การกลืน เป็นต้น

       
       "กระนั้นก็ตาม การบำบัดด้วยเทคนิคนี้ ไม่ใช่ดูแล้วจำไปใช้ฝึกกับลูกที่บ้านได้เลย แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องได้รับการฝึกอบรมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นอย่างดีเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นอาจกดผิดจุด นำไปสู่อันตรายถึงแก่ชีวิตลูกได้" คุณแม่ของซันซันกล่าวเสริม

ที่มา : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000108985
"ความแข็งแกร่งของแม่..ยิ่งใหญ่เหนือกฎของธรรมชาติ"

โรงพยาบาล  --> รามาธิบดี (อ.ชัยยศ)
รักษาด้วยยา  --> Keppra+Phenobarb+depakine
ฝึกพัฒนาการ --> ร.พ.จุฬาฯ / ครูมาฝึกที่บ้าน

 


Powered by EzPortal