เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ  (อ่าน 35632 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 06 เมษายน 2013 เวลา 12:13 น. »
ถ้าได้เมื่อไหร่ พี่จะบอกนะค่ะ พี่ว่า น้องกล้ามากนะค่ะ ที่ออกมาเปิดตัวแบบนี้ (เก่งนะค่ะ) พี่เอง ยังค่อนข้างปิดตัวเลยค่ะ

ตอนแรกก็กลัวๆ เหมือนกันค่ะ ยิ่งช่วงที่เริ่มเป็นแรกๆ ก็กลัวคนเห็น กลัวเพื่อนล้อ ขนาดจะลาเรียนยังกลัวว่าเพื่อนจะหาว่าเราเอามาเป็นข้ออ้างรึเปล่า กังวลมาก แต่พอกล้าเปิดเผย กล้าคุยกับเพื่อนๆแล้ว คนอื่นเค้าก็เข้าใจเรามากขึ้น รู้จักโรคนี้มากขึ้นด้วย ออยเลยว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ค่ั

หนูว่า ลมชักมันก็คือโรคๆนึงที่ใครๆก็เป็นได้ เหมือนเบาหวาน ความดัน โรคไต หอบหืด เค้ายังไม่อายกันเลย เลยมีการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องพวกนี้กันมาก แต่คนยังไม่ค่อยรู้จักโรคลมชัก เพราะส่วนใหญ่ค่อนข้างปิดตัวเอง เวลาชักคนอื่นก็กลัว ไม่กล้าช่วย ชาวบ้านก็นึกว่าผีเข้า จริงๆมันไม่น่ากลัวอะไร แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และคนอื่นก็ควรจะเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่น่ากลัว ไม่ใช่โรคติดต่อ เป็นแค่ระยะสั้นๆ ช่วงที่ไม่ชักก็ทำงานได้ปกติ รักษาหายได้ ควบคุมได้โดยการทานยา ถ้าทุกคนเข้าใจ ผู้ป่วยและคนทั่วไปก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขค่ะ

ที่จริงแนวคิดนี้มาจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่Scotland พอป่วยเป็นโรคลมชักก็เริ่มจัดตั้ง organization ขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วไปรู้จักและเข้าใจโรคลมชักมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Purple day ตอนนี้ต่างประเทศก็รู้จักองค์กรนี้มากขึ้น และมีการจัดงานให้ผู้ป่วยได้มารู้จักและทำกิจกรรมร่วมกันทุกปี ไปอ่านประวัติได้ที่ http://www.purpleday.org/ ค่ะ
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: วันเสาร์ที่ 06 เมษายน 2013 เวลา 12:57 น. »
แอดเฟซ...แล้วค่ะ รับเป็นเพื่อนด้วยนะคะ

ใช้ชื่อในเฟซว่าอะไรหรอคะ ยังไม่เห็นเลยค่ะ
อย่าลืมแนะนำตัวด้วยนะคะ
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 07 เมษายน 2013 เวลา 08:06 น. »
ตอนแรกก็กลัวๆ เหมือนกันค่ะ ยิ่งช่วงที่เริ่มเป็นแรกๆ ก็กลัวคนเห็น กลัวเพื่อนล้อ ขนาดจะลาเรียนยังกลัวว่าเพื่อนจะหาว่าเราเอามาเป็นข้ออ้างรึเปล่า กังวลมาก แต่พอกล้าเปิดเผย กล้าคุยกับเพื่อนๆแล้ว คนอื่นเค้าก็เข้าใจเรามากขึ้น รู้จักโรคนี้มากขึ้นด้วย ออยเลยว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ค่ั

หนูว่า ลมชักมันก็คือโรคๆนึงที่ใครๆก็เป็นได้ เหมือนเบาหวาน ความดัน โรคไต หอบหืด เค้ายังไม่อายกันเลย เลยมีการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องพวกนี้กันมาก แต่คนยังไม่ค่อยรู้จักโรคลมชัก เพราะส่วนใหญ่ค่อนข้างปิดตัวเอง เวลาชักคนอื่นก็กลัว ไม่กล้าช่วย ชาวบ้านก็นึกว่าผีเข้า จริงๆมันไม่น่ากลัวอะไร แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และคนอื่นก็ควรจะเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่น่ากลัว ไม่ใช่โรคติดต่อ เป็นแค่ระยะสั้นๆ ช่วงที่ไม่ชักก็ทำงานได้ปกติ รักษาหายได้ ควบคุมได้โดยการทานยา ถ้าทุกคนเข้าใจ ผู้ป่วยและคนทั่วไปก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขค่ะ

ที่จริงแนวคิดนี้มาจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่Scotland พอป่วยเป็นโรคลมชักก็เริ่มจัดตั้ง organization ขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วไปรู้จักและเข้าใจโรคลมชักมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Purple day ตอนนี้ต่างประเทศก็รู้จักองค์กรนี้มากขึ้น และมีการจัดงานให้ผู้ป่วยได้มารู้จักและทำกิจกรรมร่วมกันทุกปี ไปอ่านประวัติได้ที่ http://www.purpleday.org/ ค่ะ
แรกๆ พี่ก็คิดเหมือนน้องนะ พี่ตอบไปว่า หยุดเรียนเพราะเป็นลมชัก( คือตอนนั้นชักลมบ้าหมูครั้งแรก ส่งรพ.หลายวัน) พี่ไม่คิดอะไรเลย เพราะไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ได้อายด้วย แต่ที่ได้กลับมาเป็นสิ่งที่เราคิดไม่ถึง สุดท้ายพี่ลาออกดีกว่า เรียน รามแทนเอ็น  เพราะไม่ต้องมีสังคม พอดีจิตเวชที่รักษาลูกพี่เรื่องสมาธิสั้น เขาสนใจถามพี่เรื่องนี้ ที่พี่เป็นลมชัก (ทำไม่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกทานยาต่อหน้าเพื่อน ที่ รร.)
พี่ตอบไม่ถูก (จริงตอบได้ละ แต่มันยาว) เลยตอบว่า ลมชักไม่ใช่โรคนางเอกค่ะ

แม้ปัจจุบัน พี่ก็ยังปิดตัวเอง ถึงโรคลมชักจะได้รับการยอมรับมากขึ้นแล้ว แต่พี่ก็ยังโดนเรื่อยๆ แม้จะคุมชักได้ หาเงินได้แล้วก็ตาม (แต่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเหมือนเมื่อก่อนแล้วค่ะ อาจจะเพราะภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ถีงจะป่วย แต่เราก็สามารถทำอะไรๆ ได้เหมือนคนอื่น)
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 07 เมษายน 2013 เวลา 10:27 น. »
ตอนแรกก็กลัวๆ เหมือนกันค่ะ ยิ่งช่วงที่เริ่มเป็นแรกๆ ก็กลัวคนเห็น กลัวเพื่อนล้อ ขนาดจะลาเรียนยังกลัวว่าเพื่อนจะหาว่าเราเอามาเป็นข้ออ้างรึเปล่า กังวลมาก แต่พอกล้าเปิดเผย กล้าคุยกับเพื่อนๆแล้ว คนอื่นเค้าก็เข้าใจเรามากขึ้น รู้จักโรคนี้มากขึ้นด้วย ออยเลยว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ค่ั

หนูว่า ลมชักมันก็คือโรคๆนึงที่ใครๆก็เป็นได้ เหมือนเบาหวาน ความดัน โรคไต หอบหืด เค้ายังไม่อายกันเลย เลยมีการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องพวกนี้กันมาก แต่คนยังไม่ค่อยรู้จักโรคลมชัก เพราะส่วนใหญ่ค่อนข้างปิดตัวเอง เวลาชักคนอื่นก็กลัว ไม่กล้าช่วย ชาวบ้านก็นึกว่าผีเข้า จริงๆมันไม่น่ากลัวอะไร แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และคนอื่นก็ควรจะเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่น่ากลัว ไม่ใช่โรคติดต่อ เป็นแค่ระยะสั้นๆ ช่วงที่ไม่ชักก็ทำงานได้ปกติ รักษาหายได้ ควบคุมได้โดยการทานยา ถ้าทุกคนเข้าใจ ผู้ป่วยและคนทั่วไปก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขค่ะ

ที่จริงแนวคิดนี้มาจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่Scotland พอป่วยเป็นโรคลมชักก็เริ่มจัดตั้ง organization ขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วไปรู้จักและเข้าใจโรคลมชักมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Purple day ตอนนี้ต่างประเทศก็รู้จักองค์กรนี้มากขึ้น และมีการจัดงานให้ผู้ป่วยได้มารู้จักและทำกิจกรรมร่วมกันทุกปี ไปอ่านประวัติได้ที่ http://www.purpleday.org/ ค่ะ
แรกๆ พี่ก็คิดเหมือนน้องนะ พี่ตอบไปว่า หยุดเรียนเพราะเป็นลมชัก( คือตอนนั้นชักลมบ้าหมูครั้งแรก ส่งรพ.หลายวัน) พี่ไม่คิดอะไรเลย เพราะไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ได้อายด้วย แต่ที่ได้กลับมาเป็นสิ่งที่เราคิดไม่ถึง สุดท้ายพี่ลาออกดีกว่า เรียน รามแทนเอ็น  เพราะไม่ต้องมีสังคม พอดีจิตเวชที่รักษาลูกพี่เรื่องสมาธิสั้น เขาสนใจถามพี่เรื่องนี้ ที่พี่เป็นลมชัก (ทำไม่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกทานยาต่อหน้าเพื่อน ที่ รร.)
พี่ตอบไม่ถูก (จริงตอบได้ละ แต่มันยาว) เลยตอบว่า ลมชักไม่ใช่โรคนางเอกค่ะ

แม้ปัจจุบัน พี่ก็ยังปิดตัวเอง ถึงโรคลมชักจะได้รับการยอมรับมากขึ้นแล้ว แต่พี่ก็ยังโดนเรื่อยๆ แม้จะคุมชักได้ หาเงินได้แล้วก็ตาม (แต่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเหมือนเมื่อก่อนแล้วค่ะ อาจจะเพราะภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ถีงจะป่วย แต่เราก็สามารถทำอะไรๆ ได้เหมือนคนอื่น)

ยินดีด้วยค่ะ หนูก็อยากทำอะไรได้เหมือนคนทั่วๆไป อยากขับรถได้(เคยชักแล้วไปชนหลายครั้งแล้ว) อยากอยู่เวรได้ทั้งคืนเหมือนเพื่อนโดยที่ไม่ชัก ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวจะชัก แต่ตอนนี้ก็ยังดีที่ควบคุมอาการชักได้มากขึ้น เรียนได้ ถึงจะช้า แค่นี้ก็ดีใจแล้ว โดยส่วนตัวไม่ค่อยคิดอะไรมาก เวลามีใครถาม ก็บอกตรงๆ ส่วนใหญ่คนเค้าอยากรู้ว่ามันเป็นไง ก็ถือโอกาสอธิบายให้เค้าเข้าใจด้วย เพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้อง อาจารย์ เกือบทั้งคณะเค้ารู้หมดแล้วว่าหนูเป็นลมชัก ก็ไม่เป็นไรค่ะ บางครั้งได้ยินว่ามีเพื่อนนินทาเรื่องโรคเราบ้าง ก็ช่างเค้าค่ะ คนปกติดีๆ เป็นดารา เป็นเพื่อนกันแท้ๆ ยังโดนนินทาเลย เราก็ไม่แปลกหรอกค่ะ

ที่ได้หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ตอนแรกเขียนเป็นไดอารี่ ส่งเรื่องราวและระบายความในใจให้อาจารย์ที่รักษาผ่านทางอีเมล ส่งมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย อาจารย์เลยขอตีพิมพ์ค่ะ ซึ่งหนูก็ไม่ขัดข้องอะไร อยากให้คนได้รู้จักโรคนี้เยอะๆ ตอนที่ป่วยแรกๆ ไปร้านหนังสือ หาหนังสือเกี่ยวกับโรคลมชักไม่มีเลย ไม่เหมือนพวกโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ โรคอ้วน ซึ่งคนก็อ่าน ก็รู้จักกันเยอะขึ้น หนูเลยบอกอาจารย์ว่าลองพิมพ์ดูก่อนก็ได้(เพราะมีงบจากสปสช.ค่ะ) ไม่รู้จะมีคนอ่านมั้ย พอพิมพ์มาแล้ว ปรากฏว่าคนสนใจเต็มเลย ไม่คิดเลยค่ะว่าจะมีคนอยากอ่านเยอะขนาดนี้ เป็นผลงานที่ภูมิใจมากๆค่ะ ได้เมื่อไหร่ลองอ่านดูละกันนะคะ
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 07 เมษายน 2013 เวลา 12:03 น. »
ยินดีด้วยค่ะ หนูก็อยากทำอะไรได้เหมือนคนทั่วๆไป อยากขับรถได้(เคยชักแล้วไปชนหลายครั้งแล้ว) อยากอยู่เวรได้ทั้งคืนเหมือนเพื่อนโดยที่ไม่ชัก ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวจะชัก แต่ตอนนี้ก็ยังดีที่ควบคุมอาการชักได้มากขึ้น เรียนได้ ถึงจะช้า แค่นี้ก็ดีใจแล้ว โดยส่วนตัวไม่ค่อยคิดอะไรมาก เวลามีใครถาม ก็บอกตรงๆ ส่วนใหญ่คนเค้าอยากรู้ว่ามันเป็นไง ก็ถือโอกาสอธิบายให้เค้าเข้าใจด้วย เพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้อง อาจารย์ เกือบทั้งคณะเค้ารู้หมดแล้วว่าหนูเป็นลมชัก ก็ไม่เป็นไรค่ะ บางครั้งได้ยินว่ามีเพื่อนนินทาเรื่องโรคเราบ้าง ก็ช่างเค้าค่ะ คนปกติดีๆ เป็นดารา เป็นเพื่อนกันแท้ๆ ยังโดนนินทาเลย เราก็ไม่แปลกหรอกค่ะ

ที่ได้หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ตอนแรกเขียนเป็นไดอารี่ ส่งเรื่องราวและระบายความในใจให้อาจารย์ที่รักษาผ่านทางอีเมล ส่งมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย อาจารย์เลยขอตีพิมพ์ค่ะ ซึ่งหนูก็ไม่ขัดข้องอะไร อยากให้คนได้รู้จักโรคนี้เยอะๆ ตอนที่ป่วยแรกๆ ไปร้านหนังสือ หาหนังสือเกี่ยวกับโรคลมชักไม่มีเลย ไม่เหมือนพวกโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ โรคอ้วน ซึ่งคนก็อ่าน ก็รู้จักกันเยอะขึ้น หนูเลยบอกอาจารย์ว่าลองพิมพ์ดูก่อนก็ได้(เพราะมีงบจากสปสช.ค่ะ) ไม่รู้จะมีคนอ่านมั้ย พอพิมพ์มาแล้ว ปรากฏว่าคนสนใจเต็มเลย ไม่คิดเลยค่ะว่าจะมีคนอยากอ่านเยอะขนาดนี้ เป็นผลงานที่ภูมิใจมากๆค่ะ ได้เมื่อไหร่ลองอ่านดูละกันนะคะ
จริงๆแล้ว นินทา สรรเสริญ เป็นของตรงกันข้ามกัน (คนเราชอบนินทามากกว่า 5555)  ถ้าเป็นตอนนี้ ใครจะนินทาพี่ไม่แคร์เท่าไหร่แล้ว  ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่คอยระแวงอยู่ตลอดเวลา จนต้องขอหมอ จ่ายยา เช้า-เย็น (ไม่กินยาต่อหน้าเพื่อน)
ถ้าหนังสือได้ตีพิมพ์ วางขายหรือ สามารถเผยแพร่ให้คนเข้าใจโรคลมชักมากกว่านี้ ก็น่าจะดี

ถ้าน้องสามารถทำ ทุกอย่าง ได้เหมือนคนปกติ พี่จะบอกว่า มันสนุกมากกกกกก  ;D ;D
ส่วนพี่ เว้นเฉพาะบางเรื่อง  :D ขับรถ (กลัวเปลือง) :D  กินกาแฟ  (กลัวแก่)  :Dทำเลสิก (กลัวตาบอด)

ตอนนี้ พี่ยังไม่แน่ใจว่า ถ้าพี่บอก ทุกๆคน (รวมถึงลูกค้า) จะทำให้ ดิสเครดิตพี่หรือเปล่า  (เมื่อก่อน เวลาพี่พูดอะไร คนมักไม่เชื่อนะค่ะ เข้าใจว่า พี่กำลังสับสน หรืออยู่ระหว่างการชัก หรือคิดไปเองบ้าง )
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: วันอังคารที่ 09 เมษายน 2013 เวลา 10:29 น. »
ยินดีด้วยค่ะ หนูก็อยากทำอะไรได้เหมือนคนทั่วๆไป อยากขับรถได้(เคยชักแล้วไปชนหลายครั้งแล้ว) อยากอยู่เวรได้ทั้งคืนเหมือนเพื่อนโดยที่ไม่ชัก ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวจะชัก แต่ตอนนี้ก็ยังดีที่ควบคุมอาการชักได้มากขึ้น เรียนได้ ถึงจะช้า แค่นี้ก็ดีใจแล้ว โดยส่วนตัวไม่ค่อยคิดอะไรมาก เวลามีใครถาม ก็บอกตรงๆ ส่วนใหญ่คนเค้าอยากรู้ว่ามันเป็นไง ก็ถือโอกาสอธิบายให้เค้าเข้าใจด้วย เพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้อง อาจารย์ เกือบทั้งคณะเค้ารู้หมดแล้วว่าหนูเป็นลมชัก ก็ไม่เป็นไรค่ะ บางครั้งได้ยินว่ามีเพื่อนนินทาเรื่องโรคเราบ้าง ก็ช่างเค้าค่ะ คนปกติดีๆ เป็นดารา เป็นเพื่อนกันแท้ๆ ยังโดนนินทาเลย เราก็ไม่แปลกหรอกค่ะ

ที่ได้หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ตอนแรกเขียนเป็นไดอารี่ ส่งเรื่องราวและระบายความในใจให้อาจารย์ที่รักษาผ่านทางอีเมล ส่งมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย อาจารย์เลยขอตีพิมพ์ค่ะ ซึ่งหนูก็ไม่ขัดข้องอะไร อยากให้คนได้รู้จักโรคนี้เยอะๆ ตอนที่ป่วยแรกๆ ไปร้านหนังสือ หาหนังสือเกี่ยวกับโรคลมชักไม่มีเลย ไม่เหมือนพวกโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ โรคอ้วน ซึ่งคนก็อ่าน ก็รู้จักกันเยอะขึ้น หนูเลยบอกอาจารย์ว่าลองพิมพ์ดูก่อนก็ได้(เพราะมีงบจากสปสช.ค่ะ) ไม่รู้จะมีคนอ่านมั้ย พอพิมพ์มาแล้ว ปรากฏว่าคนสนใจเต็มเลย ไม่คิดเลยค่ะว่าจะมีคนอยากอ่านเยอะขนาดนี้ เป็นผลงานที่ภูมิใจมากๆค่ะ ได้เมื่อไหร่ลองอ่านดูละกันนะคะ
จริงๆแล้ว นินทา สรรเสริญ เป็นของตรงกันข้ามกัน (คนเราชอบนินทามากกว่า 5555)  ถ้าเป็นตอนนี้ ใครจะนินทาพี่ไม่แคร์เท่าไหร่แล้ว  ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่คอยระแวงอยู่ตลอดเวลา จนต้องขอหมอ จ่ายยา เช้า-เย็น (ไม่กินยาต่อหน้าเพื่อน)
ถ้าหนังสือได้ตีพิมพ์ วางขายหรือ สามารถเผยแพร่ให้คนเข้าใจโรคลมชักมากกว่านี้ ก็น่าจะดี

ถ้าน้องสามารถทำ ทุกอย่าง ได้เหมือนคนปกติ พี่จะบอกว่า มันสนุกมากกกกกก  ;D ;D
ส่วนพี่ เว้นเฉพาะบางเรื่อง  :D ขับรถ (กลัวเปลือง) :D  กินกาแฟ  (กลัวแก่)  :Dทำเลสิก (กลัวตาบอด)

ตอนนี้ พี่ยังไม่แน่ใจว่า ถ้าพี่บอก ทุกๆคน (รวมถึงลูกค้า) จะทำให้ ดิสเครดิตพี่หรือเปล่า  (เมื่อก่อน เวลาพี่พูดอะไร คนมักไม่เชื่อนะค่ะ เข้าใจว่า พี่กำลังสับสน หรืออยู่ระหว่างการชัก หรือคิดไปเองบ้าง )

สำหรับหนู ตอนนี้ไม่อายใครแล้วค่ะ รู้สึกว่าปิดตัวเองแล้วมัวแต่กังวลว่าคนอื่นจะเห็น คนอื่นจะคิดยังไง เค้าจะนินทามั้ย แต่ตอนนี้เลิกคิดแล้วค่ะ เค้ารู้กันทั้งคณะแล้ว กังวลไปก็เครียดอยู่คนเดียว ถ้าเราเป็นคนดี ทำความดี ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ก็โอเคแล้วค่ะ บางที ชักบ่อย ป่วย ไม่ได้เข้าเรียน ไม่มาสอบ ไม่ทำงาน คุยกับเพื่อน กับอาจารย์ดีๆ เรามีเหตุผล เวลาไม่ป่วยเราก็ไม่อู้ เค้าก็เข้าใจค่ะ

ตอนนี้เวลาไปหาหมอก็ขอลาอาจารย์ตรงๆ บางทีไม่เจอก็ฝากเพื่อนบอก เพื่อนก็รู้กันหมด ไปหาตรวจกับอาจารย์ที่ห้องตรวจก็เจอเพื่อนอีกกลุ่มเรียนอยู่ ก็เป็นคนไข้ให้เพื่อนเรียนเลย เพื่อนก็รู้ว่าเราเป็นอะไรบ้าง กินยาอะไร เวลากินยาต่อหน้าเพื่อนก็ไม่คิดมาก บางทีเราลืมเค้าก็ช่วยเตือนเรา ช่วงนี้ต้องไปพบจิตเวชด้วย เจอเพื่อนที่ห้องตรวจก็ทักกันปกติ บางคนมองเราแปลกๆก็ไม่้ป็นไร ยังมีเพื่อนที่ยอมรับเราอยู่ พอไม่ปิดตัวเองแล้วสบายใจกว่า เพื่อนเข้าใจเรามากกว่าด้วยค่ะ
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ NONG

  • Shoutbox
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 1,451
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: วันพุธที่ 10 เมษายน 2013 เวลา 00:47 น. »
หนังสือเขียนได้ดี เรียบง่าย ทำให้เข้าใจความรู้สึกของคนไข้ได้ดี
อีกไม่นาน น้องออยคงสำเร็จเป็นหมอที่ดีและเข้าใจคนไข้ได้มากๆ  แน่นอน

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: วันพุธที่ 10 เมษายน 2013 เวลา 07:58 น. »
หนังสือเขียนได้ดี เรียบง่าย ทำให้เข้าใจความรู้สึกของคนไข้ได้ดี
อีกไม่นาน น้องออยคงสำเร็จเป็นหมอที่ดีและเข้าใจคนไข้ได้มากๆ  แน่นอน

ขอบพระคุณมากๆค่ะ ออยก็หวังว่าจะเรียนจบ และจะเป็นหมอที่ดูแลคนไข้ได้ดี เหมือนที่ อ.สมศักดิ์ได้ดูแลออยมาค่ะ
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: วันพุธที่ 10 เมษายน 2013 เวลา 10:16 น. »


ได้รับแล้วรับเปิดอ่านเลยค่ะ  เล่มแรกของน้องออย อ่านแล้ว ไม่รู้สึกว่า น้องออยเป็นคนไข้ค่ะ สามารถเล่าเหตุการณ์ได้ประติดประต่อ  บทสรุปของความรู้สึกคนไข้ชัดเจน ซึ่งพี่อ่านไปคิดไปค่ะ แต่ไม่เคยบอกใคร เพราะไม่รู้จะบอกอย่างไรดี เรื่องเก่า ๆ บางเรื่อง ขำๆ นึกออกมาเล่าให้น้องออยฟังบ้าง

เหตุการณ์ในบ้านตัวเองนะค่ะ
พี่คนนึง -  ต่าย ทำไม เข้าห้องน้ำไม่ราด สกปรกมาก  ลอยเชียว เป็นคนอย่างนี้ได้อย่างไร (เป็นชุดๆ)
ต่าย - (เพิ่งลืมตา ย้งนอนที่หมอนอยู่)  ไปเข้าห้องน้ำมาเมื่อไหร่พี่ แล้วก็ปิดตาอยากหลับต่อ
พี่คนนึง - นี่ๆ ยังจะนอนอีก (ฉอดๆๆๆ )
ต่าย - ( จำไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้ฟัง) 

จำได้ว่า โดนพี่คนนี้ว่าหลายครั้งมาก จนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ บางอย่างเราทำโดยไม่รู้จริงๆค่ะ แต่พี่คนนี้มีดีที่เขาสงสารเรื่องค่ายาของต่าย และฝากงานให้ต่ายเข้าทำเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ ม.ศิลปากร โดยเลือก ตำแหน่งที่ง่ายที่สุด
เพื่อจะได้สิทธิ์ประกันสังคม (ถ้าทำงานได้ก็ทำไป แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกมาต่อประกันสังคมแบบส่งตัวเอง)
 
สุดท้าย พี่ลาออก ก่อนที่จะครบ  1ปี เพราะว่า มีสัญญาณมาแล้วว่าจะไม่บรรจุพี่ เนื่องจากทำงานไม่ดี  พี่ได้คำแนะนำจากพี่ที่ฝากงานว่า "รีบ"เขียนใบลาออกก่อน ที่จะถูก เขียนเหตูผลว่า ทำไม ไม่บรรจุ
เหตุผล เพราะหัวหน้าที่พี่ขึ้นตรง (ซี 8)  ไม่มีลูกน้องคนไหน ทนทำงานได้เกิน 4 เดือน      (มีพี่คนแรกที่ทำได้เกือบ 1 ปี)

เลยปรึกษากัน ระหว่างว่า
ถ้าพี่เขียนใบลาออก   - หัวหน้าคนนั้น อาจจะถูกสอบสวนว่าทำไม มีลูกน้องลาออกจำนวนมาก ภายในระยะเวลาที่ได้ตำแหน่ง
ถ้าถูกไล่ออก หรือไม่ บรรจุ - ความผิดจะเป็นของพี่ ทันที เพราะไม่สบายเป็นลมชัก

ตอนพี่ลาออกแล้ว มีหัวหน้า รอง ศ. ฯลฯ มาหาพี่ที่โต๊ะ โทรศัพท์ เยอะว่า ลาออกแล้วหรือ /ทำไมละ  / เอาอีกแล้วหรือ
 
น้องออย   แม้จะเป็นลมชัก  ก็ไม่เว้น การชิงไหวชิงพริบ กันในเรื่องทำงานเหมือนกันจ๊ะ   
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: วันพุธที่ 10 เมษายน 2013 เวลา 10:19 น. »
สำหรับหนังสืออีกเล่ม


อยู่อย่างไรให้เป็นสุขกับโรคลมชัก มีหลายเรื่องที่โดนๆ ค่ะ อาจารย์ เขียนได้ดีมากค่ะ  อ่านถึง หัวข้อ 22 แล้วอึ้ง ต่ายไม่เคยเขียนเรื่องแบบนี้ลงในบอร์ดนี้ เพราะกลัวกังวลกันไปค่ะ ต่ายเป็นคนนึงที่โดนมาแล้ว แต่ไม่ถึงขนาดที่ อาจารย์เขียน (ซึ่ง ไม่มีใครเชื่อค่ะ)

ครั้งแรก จาก ..  ต่ายโดนต่อว่า  ว่า ทำไมชักแล้ว ไม่ไปนอนในห้องนอนให้เรียบร้อย ปิดล๊อคประตู จะได้ไม่เกิดเรื่อง
คนทำไม่โดน แต่คนที่ถูกว่า กลับเป็นต่ายแทน ออกจะแนวไม่เชื่อ และโดนโกรธที่ใส่ร้ายคนอื่น

ครั้งที่สอง  จาก คนในที่ทำงาน ตอนนั้น ต่ายตัดสินใจ จะกระโดดออกนอกรถแทน (เปิดประตูรถแล้วค่ะ)  พอกลับมาเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟัง กลายเป็นเรื่องตลก สุดท้ายลาออกจากที่นั่นค่ะ



It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2013 เวลา 17:17 น. »


ได้รับแล้วรับเปิดอ่านเลยค่ะ  เล่มแรกของน้องออย อ่านแล้ว ไม่รู้สึกว่า น้องออยเป็นคนไข้ค่ะ สามารถเล่าเหตุการณ์ได้ประติดประต่อ  บทสรุปของความรู้สึกคนไข้ชัดเจน ซึ่งพี่อ่านไปคิดไปค่ะ แต่ไม่เคยบอกใคร เพราะไม่รู้จะบอกอย่างไรดี เรื่องเก่า ๆ บางเรื่อง ขำๆ นึกออกมาเล่าให้น้องออยฟังบ้าง

เหตุการณ์ในบ้านตัวเองนะค่ะ
พี่คนนึง -  ต่าย ทำไม เข้าห้องน้ำไม่ราด สกปรกมาก  ลอยเชียว เป็นคนอย่างนี้ได้อย่างไร (เป็นชุดๆ)
ต่าย - (เพิ่งลืมตา ย้งนอนที่หมอนอยู่)  ไปเข้าห้องน้ำมาเมื่อไหร่พี่ แล้วก็ปิดตาอยากหลับต่อ
พี่คนนึง - นี่ๆ ยังจะนอนอีก (ฉอดๆๆๆ )
ต่าย - ( จำไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้ฟัง) 

จำได้ว่า โดนพี่คนนี้ว่าหลายครั้งมาก จนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ บางอย่างเราทำโดยไม่รู้จริงๆค่ะ แต่พี่คนนี้มีดีที่เขาสงสารเรื่องค่ายาของต่าย และฝากงานให้ต่ายเข้าทำเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ ม.ศิลปากร โดยเลือก ตำแหน่งที่ง่ายที่สุด
เพื่อจะได้สิทธิ์ประกันสังคม (ถ้าทำงานได้ก็ทำไป แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกมาต่อประกันสังคมแบบส่งตัวเอง)
 
สุดท้าย พี่ลาออก ก่อนที่จะครบ  1ปี เพราะว่า มีสัญญาณมาแล้วว่าจะไม่บรรจุพี่ เนื่องจากทำงานไม่ดี  พี่ได้คำแนะนำจากพี่ที่ฝากงานว่า "รีบ"เขียนใบลาออกก่อน ที่จะถูก เขียนเหตูผลว่า ทำไม ไม่บรรจุ
เหตุผล เพราะหัวหน้าที่พี่ขึ้นตรง (ซี 8)  ไม่มีลูกน้องคนไหน ทนทำงานได้เกิน 4 เดือน      (มีพี่คนแรกที่ทำได้เกือบ 1 ปี)

เลยปรึกษากัน ระหว่างว่า
ถ้าพี่เขียนใบลาออก   - หัวหน้าคนนั้น อาจจะถูกสอบสวนว่าทำไม มีลูกน้องลาออกจำนวนมาก ภายในระยะเวลาที่ได้ตำแหน่ง
ถ้าถูกไล่ออก หรือไม่ บรรจุ - ความผิดจะเป็นของพี่ ทันที เพราะไม่สบายเป็นลมชัก

ตอนพี่ลาออกแล้ว มีหัวหน้า รอง ศ. ฯลฯ มาหาพี่ที่โต๊ะ โทรศัพท์ เยอะว่า ลาออกแล้วหรือ /ทำไมละ  / เอาอีกแล้วหรือ
 
น้องออย   แม้จะเป็นลมชัก  ก็ไม่เว้น การชิงไหวชิงพริบ กันในเรื่องทำงานเหมือนกันจ๊ะ

ขอบคุณค่ะ ออยใช้เวลาเขียนนานเหมือนกันค่ะบางเรื่อง พอมาอ่านอีกที ก็จำไม่ได้เหมือนกัน

กว่าจะได้เล่มนี้ ก็นานเหมือนกันค่ะ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเขียนหนังสือเลย สังเกตได้ว่าใช้ศัพท์แพทย์เยอะมาก เพราะที่จริงแล้วทั้งหมดนี่เป็นไดอารี่ของตัวเองที่เขียนระบายอารมณ์ ความรู้สึก ตอนที่เขียนก็มีควารมหวังว่าซักวันถ้าเราหาย เผื่อเราอยากกลับมาิ่านว่า ตอนนั้นมันเป็นยังไง ตอนหลังออยเครียดมากๆ บางทีมีปัญหา หาทางออกไม่ได้ เลยส่งไดอารี่ไปทางอีเมลให้อาจารย์สมศักดิ์ ซึ่งอาจารย์ก็ได้ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำดีๆเสมอมา หลังจากนั้นพอออยเขียนไดอารี่ก็จะส่งให้อาจารย์ไปด้วย แล้วก็มีอาจารย์อีกท่านนึงทราบเรื่องนี้(เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของออยค่ะ น่าจะบังเอิญได้ยินออยคุยเรื่องในไดอารี่กับอาจารย์สมศักดิ์) เลยถามว่าขออ่านด้วยได้มั้ย เผื่อถ้าออยมีอะไรจะได้ช่วยแก้ปัญหา ออยก็ให้ ถือว่าสนิทกัน ต่อมาก็มีอาจารย์ท่านอื่นที่ทราบได้อ่านด้วย(ตามชื่อในหน้าขอบคุณ ท้ายสุดของหนังสือ) แต่ก็เป็นอาจารย์ที่สนิทและรู้จักกันดีหมด และพอส่งไป อาจารย์ทุกท่านก็จะให้กำลังใจกลับมาทุกครั้ง)

ออยเขียนไดอารี่ประมาณปีนึง อยู่ๆอาจารย์สมศักดิ์ก็ถามว่า อาจารย์อยากพิมพ์ไดอารี่ของหนูเป็นเล่ม ให้คนอื่นได้อ่านด้วย เพราะจากที่อาจารย์อ่านแล้ว อาจารย์ได้ประสบการณ์และสิ่งต่างๆจากคนไข้ที่อาจารย์ไม่เคยรู้ ทำให้อาจารย์เข้าใจคนไข้มากขึ้น ออยเลยบอกว่า ถ้าอาจารย์คิดว่าไดอารี่ของออยจะทำให้่คนอื่นได้ความรู้ เข้าใจโรค เข้าใจคนไข้ ทำให้คนไข้และคนทั่วไปอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข ออยก็ยินดีค่ะ

และก็เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้แหละค่ะ ;)
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2013 เวลา 18:45 น. »
ขอบคุณค่ะ ออยใช้เวลาเขียนนานเหมือนกันค่ะบางเรื่อง พอมาอ่านอีกที ก็จำไม่ได้เหมือนกัน

กว่าจะได้เล่มนี้ ก็นานเหมือนกันค่ะ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเขียนหนังสือเลย สังเกตได้ว่าใช้ศัพท์แพทย์เยอะมาก เพราะที่จริงแล้วทั้งหมดนี่เป็นไดอารี่ของตัวเองที่เขียนระบายอารมณ์ ความรู้สึก ตอนที่เขียนก็มีควารมหวังว่าซักวันถ้าเราหาย เผื่อเราอยากกลับมาิ่านว่า ตอนนั้นมันเป็นยังไง ตอนหลังออยเครียดมากๆ บางทีมีปัญหา หาทางออกไม่ได้ เลยส่งไดอารี่ไปทางอีเมลให้อาจารย์สมศักดิ์ ซึ่งอาจารย์ก็ได้ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำดีๆเสมอมา หลังจากนั้นพอออยเขียนไดอารี่ก็จะส่งให้อาจารย์ไปด้วย แล้วก็มีอาจารย์อีกท่านนึงทราบเรื่องนี้(เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของออยค่ะ น่าจะบังเอิญได้ยินออยคุยเรื่องในไดอารี่กับอาจารย์สมศักดิ์) เลยถามว่าขออ่านด้วยได้มั้ย เผื่อถ้าออยมีอะไรจะได้ช่วยแก้ปัญหา ออยก็ให้ ถือว่าสนิทกัน ต่อมาก็มีอาจารย์ท่านอื่นที่ทราบได้อ่านด้วย(ตามชื่อในหน้าขอบคุณ ท้ายสุดของหนังสือ) แต่ก็เป็นอาจารย์ที่สนิทและรู้จักกันดีหมด และพอส่งไป อาจารย์ทุกท่านก็จะให้กำลังใจกลับมาทุกครั้ง)

ออยเขียนไดอารี่ประมาณปีนึง อยู่ๆอาจารย์สมศักดิ์ก็ถามว่า อาจารย์อยากพิมพ์ไดอารี่ของหนูเป็นเล่ม ให้คนอื่นได้อ่านด้วย เพราะจากที่อาจารย์อ่านแล้ว อาจารย์ได้ประสบการณ์และสิ่งต่างๆจากคนไข้ที่อาจารย์ไม่เคยรู้ ทำให้อาจารย์เข้าใจคนไข้มากขึ้น ออยเลยบอกว่า ถ้าอาจารย์คิดว่าไดอารี่ของออยจะทำให้่คนอื่นได้ความรู้ เข้าใจโรค เข้าใจคนไข้ ทำให้คนไข้และคนทั่วไปอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข ออยก็ยินดีค่ะ

และก็เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้แหละค่ะ ;)

พอดีน้องออย เขียนเรื่อง ไตรลักษณ์ ด้วย พี่ก็ขอให้ ไตรลักษณ์ เป็นกำลังใจที่สามารถ ทำให้น้องออย ต่อสู้ และ มีความหวัง กับ ตัวเอง ไม่ว่าจะหาย หรือไม่หาย  เป็นอนิจจัง เหมือนกัน

อย่างพี่ พี่คิดว่า พี่ คงหายแล้ว (อาจจะไม่ต้องหยุดยาก็ได้)  เพราะว่า สามารถคุมชักได้ นานหลายปี แม้จะมีสิ่งกระตุ้นพร้อมๆ กัน หลายอย่าง พอตรวจ EEG พี่แทบหน้าหงาย ( จะว่าท้อก็ว่าได้) ทำไมคลื่นชักเยอะขนาดนี้ รอดมาได้ยังไง ฯลฯ คำถามเต็มหัวไปหมด

วันนี้พี่น้องอุตส่าห์ไปอ่านผลด้วย ถ้าพอจะสังเกตุพี่ต่าย หน้าเสียเหมือนกันค่ะ

ทุกวันนี้ พี่สารภาพเลย เวลา ร่างกายไม่ค่อยดี (พี่มีหลายโรคน้อง ความดันต่ำ ภูมิแพ้ ฯลฯ )
พี่ต่ายกลับคิดว่า เป็น อาการลมชักหรือเปล่า เป็นอันดับแรก ทั้งๆที่แทบจะลืมว่าตัวเองเคยชักไปแล้วด้วย

แต่ที่ทำได้ คือ รีบ อยู่กับลมหายใจ แล้ว รีบวางทันที แล้ว ทำหน้าที่ตัวเองต่อ


ส่วน คำในใจของผู้ป่วย พี่เชื่อว่า หมอคงจะไม่ทราบนักค่ะ ดีที่น้องเขียนออกมาเป็นไดอารี่ค่ะ คุณหมอเองไม่ทราบว่า ผู้ป่วยรู้สึกอย่างไร มีผลกับความเครียดที่ทำให้กระตุ้นชักได้มาก
มากกว่า อย่างอื่นเสียอีก

น้องออยยังดีที่ สามารถเรียนไปด้วย กิจกรรมต่างๆ ที่น้องออยทำ ทำให้ รู้สึกตัวเองมีค่า อย่างที่น้องบอกจริงๆ (พี่เองรู้สึกว่า ตัวเองมีค่า เพราะได้ทำงาน กับเลี้ยงลูกค่ะ)  ตรงนี้ละ เป็นกำลังใจสำคัญมากๆ หลายเรื่องที่น้องเขียน ตรงกับใจพี่ แต่พี่ไม่รู้จะอธิบายคนอื่นอย่างไร อธิบายทำไม พูดไปก็ไม่เข้าใจ ฯลฯ
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2013 เวลา 02:04 น. »
ขอบคุณค่ะ ออยใช้เวลาเขียนนานเหมือนกันค่ะบางเรื่อง พอมาอ่านอีกที ก็จำไม่ได้เหมือนกัน

กว่าจะได้เล่มนี้ ก็นานเหมือนกันค่ะ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเขียนหนังสือเลย สังเกตได้ว่าใช้ศัพท์แพทย์เยอะมาก เพราะที่จริงแล้วทั้งหมดนี่เป็นไดอารี่ของตัวเองที่เขียนระบายอารมณ์ ความรู้สึก ตอนที่เขียนก็มีควารมหวังว่าซักวันถ้าเราหาย เผื่อเราอยากกลับมาิ่านว่า ตอนนั้นมันเป็นยังไง ตอนหลังออยเครียดมากๆ บางทีมีปัญหา หาทางออกไม่ได้ เลยส่งไดอารี่ไปทางอีเมลให้อาจารย์สมศักดิ์ ซึ่งอาจารย์ก็ได้ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำดีๆเสมอมา หลังจากนั้นพอออยเขียนไดอารี่ก็จะส่งให้อาจารย์ไปด้วย แล้วก็มีอาจารย์อีกท่านนึงทราบเรื่องนี้(เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของออยค่ะ น่าจะบังเอิญได้ยินออยคุยเรื่องในไดอารี่กับอาจารย์สมศักดิ์) เลยถามว่าขออ่านด้วยได้มั้ย เผื่อถ้าออยมีอะไรจะได้ช่วยแก้ปัญหา ออยก็ให้ ถือว่าสนิทกัน ต่อมาก็มีอาจารย์ท่านอื่นที่ทราบได้อ่านด้วย(ตามชื่อในหน้าขอบคุณ ท้ายสุดของหนังสือ) แต่ก็เป็นอาจารย์ที่สนิทและรู้จักกันดีหมด และพอส่งไป อาจารย์ทุกท่านก็จะให้กำลังใจกลับมาทุกครั้ง)

ออยเขียนไดอารี่ประมาณปีนึง อยู่ๆอาจารย์สมศักดิ์ก็ถามว่า อาจารย์อยากพิมพ์ไดอารี่ของหนูเป็นเล่ม ให้คนอื่นได้อ่านด้วย เพราะจากที่อาจารย์อ่านแล้ว อาจารย์ได้ประสบการณ์และสิ่งต่างๆจากคนไข้ที่อาจารย์ไม่เคยรู้ ทำให้อาจารย์เข้าใจคนไข้มากขึ้น ออยเลยบอกว่า ถ้าอาจารย์คิดว่าไดอารี่ของออยจะทำให้่คนอื่นได้ความรู้ เข้าใจโรค เข้าใจคนไข้ ทำให้คนไข้และคนทั่วไปอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข ออยก็ยินดีค่ะ

และก็เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้แหละค่ะ ;)

พอดีน้องออย เขียนเรื่อง ไตรลักษณ์ ด้วย พี่ก็ขอให้ ไตรลักษณ์ เป็นกำลังใจที่สามารถ ทำให้น้องออย ต่อสู้ และ มีความหวัง กับ ตัวเอง ไม่ว่าจะหาย หรือไม่หาย  เป็นอนิจจัง เหมือนกัน

อย่างพี่ พี่คิดว่า พี่ คงหายแล้ว (อาจจะไม่ต้องหยุดยาก็ได้)  เพราะว่า สามารถคุมชักได้ นานหลายปี แม้จะมีสิ่งกระตุ้นพร้อมๆ กัน หลายอย่าง พอตรวจ EEG พี่แทบหน้าหงาย ( จะว่าท้อก็ว่าได้) ทำไมคลื่นชักเยอะขนาดนี้ รอดมาได้ยังไง ฯลฯ คำถามเต็มหัวไปหมด

วันนี้พี่น้องอุตส่าห์ไปอ่านผลด้วย ถ้าพอจะสังเกตุพี่ต่าย หน้าเสียเหมือนกันค่ะ

ทุกวันนี้ พี่สารภาพเลย เวลา ร่างกายไม่ค่อยดี (พี่มีหลายโรคน้อง ความดันต่ำ ภูมิแพ้ ฯลฯ )
พี่ต่ายกลับคิดว่า เป็น อาการลมชักหรือเปล่า เป็นอันดับแรก ทั้งๆที่แทบจะลืมว่าตัวเองเคยชักไปแล้วด้วย

แต่ที่ทำได้ คือ รีบ อยู่กับลมหายใจ แล้ว รีบวางทันที แล้ว ทำหน้าที่ตัวเองต่อ


ส่วน คำในใจของผู้ป่วย พี่เชื่อว่า หมอคงจะไม่ทราบนักค่ะ ดีที่น้องเขียนออกมาเป็นไดอารี่ค่ะ คุณหมอเองไม่ทราบว่า ผู้ป่วยรู้สึกอย่างไร มีผลกับความเครียดที่ทำให้กระตุ้นชักได้มาก
มากกว่า อย่างอื่นเสียอีก

น้องออยยังดีที่ สามารถเรียนไปด้วย กิจกรรมต่างๆ ที่น้องออยทำ ทำให้ รู้สึกตัวเองมีค่า อย่างที่น้องบอกจริงๆ (พี่เองรู้สึกว่า ตัวเองมีค่า เพราะได้ทำงาน กับเลี้ยงลูกค่ะ)  ตรงนี้ละ เป็นกำลังใจสำคัญมากๆ หลายเรื่องที่น้องเขียน ตรงกับใจพี่ แต่พี่ไม่รู้จะอธิบายคนอื่นอย่างไร อธิบายทำไม พูดไปก็ไม่เข้าใจ ฯลฯ

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ออยก็ได้กำลังใจจากหนังสือเล่มนี้เยอะเหมือนกัน ทั้งจากคนไข้ ญาติคนไข้ นศ.พ. แพทย์ และคนทั่วไป

ที่หนูยอมให้อาจารย์จัดพิมพ์เพราะด้วยหลายเหตุผลค่ะ
- ช่วงที่ป่วยแรกๆ ไปดูหนังสือสุขภาพบนชั้นหนังสือ ไม่มีเรื่องโรคลมชักเลย มีแต่เรื่องเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ มะเร้ง แม้แต่ดรคที่คนรังเกียจ วัณโรค เอดส์ก็ยังมี
- จากที่ออยได้คุยกับคนไข้หลายๆคน และประสบการณ์ตัวเอง ทำให้ออยรู้ว่าปัญหาของคนไข้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความรู้สึกซึมเศร้า มีปัญหาในการเข้าสังคมและการงาน
- คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรุ้จักโรคลมชักชนิดอื่นๆ นอกจาก ชักเกร็งกระตุก หรือลมบ้าหมู เวลาคนไข้ชักแบบแปลกๆ ก็จะไม่เข้าใจ ไม่รุ้จะช่วยยังไง บางคนถุกมองว่าแกล้งทำ 
- หลายคนยังช่วยเหลือคนไข้ลมชักได้ไม่ถูกวิธี ทำให้คนไข้บาดเจ็บหรือได้รับอันตรายมากขึ้น
- คนไข้ลมชักไม่ค่อยกล้าเปิดเผยตัวเอง ก็มักจะกังวลตลอดเวลา ทั้งๆที่ถ้าเค้าไม่กังวล คนอื่นเข้าใจ และพร้อมจะช่วยเหลือ เค้าก็สามารถทำงานได้ อยู่ในสังคมได้อย่างคนปกติ อาจจะมีข้อจำกัดเพียงเล็กน้อย เช่นการขับรถ หรือทำงานในที่เสี่ยงอันตราย
- ออยอยากแสดงให้คนอื่นรุ้ว่า คนเป็นลมชักก้สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ ตอนออยทำหนังสือ เนื้อหามีอยู่แล้วเพราะเขียนมาเป็นปีแล้ว ก็วาด ออกแบบหน้าปกเอง เลือกฟอนต์ จัดรุปแบบหน้าเอง แปลคำศัพท์แพทย์เอง ซึ่งเป็นผลงานที่ออยภูมิใจที่สุดเลยค่ะ แนวคิดเรื่องการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคลมชักนี้มาจากเด็กหญิงชาวสก็อตแลนด์ ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก เค้าเลยตั้งองค์กรนึงที่จะทำให้คนรู้จักและเข้าใจโรคลมชักได้มากขึ้น และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ไปอ่านได้ใน http://www.purpleday.org/

ขอขอบพระคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็น และขอให้หายไวๆเช่นกันค่ะ
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

ออฟไลน์ Thanks-Epi

  • Meeting2
  • Hero Member
  • *
  • กระทู้: 902
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2013 เวลา 18:47 น. »

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ออยก็ได้กำลังใจจากหนังสือเล่มนี้เยอะเหมือนกัน ทั้งจากคนไข้ ญาติคนไข้ นศ.พ. แพทย์ และคนทั่วไป

ที่หนูยอมให้อาจารย์จัดพิมพ์เพราะด้วยหลายเหตุผลค่ะ
- ช่วงที่ป่วยแรกๆ ไปดูหนังสือสุขภาพบนชั้นหนังสือ ไม่มีเรื่องโรคลมชักเลย มีแต่เรื่องเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ มะเร้ง แม้แต่ดรคที่คนรังเกียจ วัณโรค เอดส์ก็ยังมี
- จากที่ออยได้คุยกับคนไข้หลายๆคน และประสบการณ์ตัวเอง ทำให้ออยรู้ว่าปัญหาของคนไข้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความรู้สึกซึมเศร้า มีปัญหาในการเข้าสังคมและการงาน
- คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรุ้จักโรคลมชักชนิดอื่นๆ นอกจาก ชักเกร็งกระตุก หรือลมบ้าหมู เวลาคนไข้ชักแบบแปลกๆ ก็จะไม่เข้าใจ ไม่รุ้จะช่วยยังไง บางคนถุกมองว่าแกล้งทำ 
- หลายคนยังช่วยเหลือคนไข้ลมชักได้ไม่ถูกวิธี ทำให้คนไข้บาดเจ็บหรือได้รับอันตรายมากขึ้น
- คนไข้ลมชักไม่ค่อยกล้าเปิดเผยตัวเอง ก็มักจะกังวลตลอดเวลา ทั้งๆที่ถ้าเค้าไม่กังวล คนอื่นเข้าใจ และพร้อมจะช่วยเหลือ เค้าก็สามารถทำงานได้ อยู่ในสังคมได้อย่างคนปกติ อาจจะมีข้อจำกัดเพียงเล็กน้อย เช่นการขับรถ หรือทำงานในที่เสี่ยงอันตราย
- ออยอยากแสดงให้คนอื่นรุ้ว่า คนเป็นลมชักก้สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ ตอนออยทำหนังสือ เนื้อหามีอยู่แล้วเพราะเขียนมาเป็นปีแล้ว ก็วาด ออกแบบหน้าปกเอง เลือกฟอนต์ จัดรุปแบบหน้าเอง แปลคำศัพท์แพทย์เอง ซึ่งเป็นผลงานที่ออยภูมิใจที่สุดเลยค่ะ แนวคิดเรื่องการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคลมชักนี้มาจากเด็กหญิงชาวสก็อตแลนด์ ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก เค้าเลยตั้งองค์กรนึงที่จะทำให้คนรู้จักและเข้าใจโรคลมชักได้มากขึ้น และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ไปอ่านได้ใน http://www.purpleday.org/

ขอขอบพระคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็น และขอให้หายไวๆเช่นกันค่ะ
เรื่องโรคซึมเศร้า พี่เองยังคิดว่า เป็นปัญหาใหญ่เสียด้วยซ้ำค่ะ พี่เคยหาจิตเวช(จากเรื่องอื่น นานแล้ว)  ปัญหาที่สะสม มีความเกี่ยวข้องกับที่พี่เป็นลมชักด้วย ซึ่งพี่ก็ก็เล่าให้แพทย์ฟัง แต่ดูแล้ว จิตเวชเหมือนไม่ค่อยสนใจนักด้วย  หรือหน้าที่จิตเวชมีเพียงรักษาคนไข้ที่อยู่กับความเครียดสาเหตุปัจจุบันเท่านั้นก็ไม่ทราบ ตรงนี้ไม่ทราบการทำงานของจิตเวชจริงๆนะค่ะ
จิตเวชรักษาลูกพี่ พอสนใจถามรายละเอียดเรื่องพี่ พอฟังแล้ว กลับบอกว่า บังเอิญ คุณแม่โชคร้ายเองค่ะ!
ทุกคนที่ป่วย คนไม่โดนเหมือนคุณแม่ (อยากจะเถียงกลับ แต่เฉยๆไปนะค่ะ เพราะเรื่องผ่านมาแล้ว )แค่แย้มไปนิดๆเอง เพราะไม่ได้เตรียมต้วมา
พี่สรุปให้จิตเวชฟัง ว่า "คนไข้ลมชักทุกคน ควรหาจิตเวชค่ะ ในความเห็นส่วนตัว"

น้องออย พี่จะสารภาพว่า ทุกวันนี้ มีความคิดแว๊ปๆ มาว่า "ลูกจะถูกล้อมั้ย ถ้า มีคนรู้ว่า มีแม่เป็นลมชัก" เพราะพี่เปิดตัวมากขึ้น
แต่ธรรมะของพระพุทธองค์ คอยช่วยพี่ไว้เสมอ ให้เราอยู่กับปัจจุบันก่อน / ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง (คือถ้าลูกพี่ถูกล้อ  แสดงว่า ลูกพี่นั้นมีกรรมด้วยทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ป่วย )   

ชื่อพี่ พี่คิดตั้งนาน แอบอ่านซักพัก จะเข้ามาในชื่ออะไรดี  เพื่อหมายถึงตัวพี่

น้องออยดูแลสุขภาพด้วย ช่วงที่มีการกระตุ้นชักพร้อมๆกัน พยายามอย่าเล่นคอมพิวเตอร์นานนัก (ยิ่งช่วงสอบ อดนอน) และถ้าอาการไม่ค่อยดี พยายามเจริญสติก่อน (หรือถ้ารู้ตัวแล้วหลังชัก)
หัดเจริญสติบ่อยๆ เวลามีอาการขึ้นมา จะได้นึกทัน
การเจริญสติปฎิฐาน 4 ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านเอานะค่ะ พี่คิดว่า น้องคงพอรู้บ้างแล้วค่ะ จากที่พี่อ่านหนังสือ


คนลมชักสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ ..พี่ต่ายชอบคำนี้จังค่ะ

แต่เมืองไทยคงยอมรับยากค่ะ   ???    แต่คงมีซักวัน  :D :D
It?s what you do in the dark, that puts you in the light
สิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณอยู่ในความมืดมิด ก็ทำให้คุณดูสว่างจากสิ่งนี้เช่นกัน

Tegretol CR(200mg)2*2
Keppra(250mg)1*2
Phenobarb(60mg)1*1
Folic(5mg)1*1
Frisium(5mg)1*2
  @@@ over dose  Tegretol CR 1000 mg @@@

ออฟไลน์ Tanisa

  • Full Member
  • *
  • กระทู้: 64
  • Never let epilepsy hold you back.
Re: แจกหนังสือ "ลมชัก...ฉันรักเธอ" ค่ะ
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2013 เวลา 08:58 น. »

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ออยก็ได้กำลังใจจากหนังสือเล่มนี้เยอะเหมือนกัน ทั้งจากคนไข้ ญาติคนไข้ นศ.พ. แพทย์ และคนทั่วไป

ที่หนูยอมให้อาจารย์จัดพิมพ์เพราะด้วยหลายเหตุผลค่ะ
- ช่วงที่ป่วยแรกๆ ไปดูหนังสือสุขภาพบนชั้นหนังสือ ไม่มีเรื่องโรคลมชักเลย มีแต่เรื่องเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ มะเร้ง แม้แต่ดรคที่คนรังเกียจ วัณโรค เอดส์ก็ยังมี
- จากที่ออยได้คุยกับคนไข้หลายๆคน และประสบการณ์ตัวเอง ทำให้ออยรู้ว่าปัญหาของคนไข้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความรู้สึกซึมเศร้า มีปัญหาในการเข้าสังคมและการงาน
- คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรุ้จักโรคลมชักชนิดอื่นๆ นอกจาก ชักเกร็งกระตุก หรือลมบ้าหมู เวลาคนไข้ชักแบบแปลกๆ ก็จะไม่เข้าใจ ไม่รุ้จะช่วยยังไง บางคนถุกมองว่าแกล้งทำ 
- หลายคนยังช่วยเหลือคนไข้ลมชักได้ไม่ถูกวิธี ทำให้คนไข้บาดเจ็บหรือได้รับอันตรายมากขึ้น
- คนไข้ลมชักไม่ค่อยกล้าเปิดเผยตัวเอง ก็มักจะกังวลตลอดเวลา ทั้งๆที่ถ้าเค้าไม่กังวล คนอื่นเข้าใจ และพร้อมจะช่วยเหลือ เค้าก็สามารถทำงานได้ อยู่ในสังคมได้อย่างคนปกติ อาจจะมีข้อจำกัดเพียงเล็กน้อย เช่นการขับรถ หรือทำงานในที่เสี่ยงอันตราย
- ออยอยากแสดงให้คนอื่นรุ้ว่า คนเป็นลมชักก้สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ ตอนออยทำหนังสือ เนื้อหามีอยู่แล้วเพราะเขียนมาเป็นปีแล้ว ก็วาด ออกแบบหน้าปกเอง เลือกฟอนต์ จัดรุปแบบหน้าเอง แปลคำศัพท์แพทย์เอง ซึ่งเป็นผลงานที่ออยภูมิใจที่สุดเลยค่ะ แนวคิดเรื่องการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคลมชักนี้มาจากเด็กหญิงชาวสก็อตแลนด์ ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก เค้าเลยตั้งองค์กรนึงที่จะทำให้คนรู้จักและเข้าใจโรคลมชักได้มากขึ้น และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ไปอ่านได้ใน http://www.purpleday.org/

ขอขอบพระคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็น และขอให้หายไวๆเช่นกันค่ะ
เรื่องโรคซึมเศร้า พี่เองยังคิดว่า เป็นปัญหาใหญ่เสียด้วยซ้ำค่ะ พี่เคยหาจิตเวช(จากเรื่องอื่น นานแล้ว)  ปัญหาที่สะสม มีความเกี่ยวข้องกับที่พี่เป็นลมชักด้วย ซึ่งพี่ก็ก็เล่าให้แพทย์ฟัง แต่ดูแล้ว จิตเวชเหมือนไม่ค่อยสนใจนักด้วย  หรือหน้าที่จิตเวชมีเพียงรักษาคนไข้ที่อยู่กับความเครียดสาเหตุปัจจุบันเท่านั้นก็ไม่ทราบ ตรงนี้ไม่ทราบการทำงานของจิตเวชจริงๆนะค่ะ
จิตเวชรักษาลูกพี่ พอสนใจถามรายละเอียดเรื่องพี่ พอฟังแล้ว กลับบอกว่า บังเอิญ คุณแม่โชคร้ายเองค่ะ!
ทุกคนที่ป่วย คนไม่โดนเหมือนคุณแม่ (อยากจะเถียงกลับ แต่เฉยๆไปนะค่ะ เพราะเรื่องผ่านมาแล้ว )แค่แย้มไปนิดๆเอง เพราะไม่ได้เตรียมต้วมา
พี่สรุปให้จิตเวชฟัง ว่า "คนไข้ลมชักทุกคน ควรหาจิตเวชค่ะ ในความเห็นส่วนตัว"

น้องออย พี่จะสารภาพว่า ทุกวันนี้ มีความคิดแว๊ปๆ มาว่า "ลูกจะถูกล้อมั้ย ถ้า มีคนรู้ว่า มีแม่เป็นลมชัก" เพราะพี่เปิดตัวมากขึ้น
แต่ธรรมะของพระพุทธองค์ คอยช่วยพี่ไว้เสมอ ให้เราอยู่กับปัจจุบันก่อน / ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง (คือถ้าลูกพี่ถูกล้อ  แสดงว่า ลูกพี่นั้นมีกรรมด้วยทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ป่วย )   

ชื่อพี่ พี่คิดตั้งนาน แอบอ่านซักพัก จะเข้ามาในชื่ออะไรดี  เพื่อหมายถึงตัวพี่

น้องออยดูแลสุขภาพด้วย ช่วงที่มีการกระตุ้นชักพร้อมๆกัน พยายามอย่าเล่นคอมพิวเตอร์นานนัก (ยิ่งช่วงสอบ อดนอน) และถ้าอาการไม่ค่อยดี พยายามเจริญสติก่อน (หรือถ้ารู้ตัวแล้วหลังชัก)
หัดเจริญสติบ่อยๆ เวลามีอาการขึ้นมา จะได้นึกทัน
การเจริญสติปฎิฐาน 4 ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านเอานะค่ะ พี่คิดว่า น้องคงพอรู้บ้างแล้วค่ะ จากที่พี่อ่านหนังสือ


คนลมชักสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ ..พี่ต่ายชอบคำนี้จังค่ะ

แต่เมืองไทยคงยอมรับยากค่ะ   ???    แต่คงมีซักวัน  :D :D

เห็นใจพี่ต่ายค่ะ ถ้าคุณลูกโดนล้อก็คงอายเหมือนกัน แต่ยังไงหนูว่าพี่ต้องเข้มแข็ง ทั้งแม่และลูก ถ้าบังเอิญเพื่อนรู้แล้วโดนล้อ ก็คงต้องทำใจค่ะ คิดไปว่า ช่างหัวเขา อย่างน้อยก็ได้ทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ตัวเรานั้นก็รู้ดีอยู่ว่า ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ถ้าเราเป็นคนดี ออยเชื่อว่า ทั้งพี่ต่ายและลูก จะได้รับสิ่งดีๆกลับมาค่ะ

ยกตัวอย่างเรื่องของออย อย่างเล่มที่อ.สมศักดิ์เขียน เรื่องที่22 ก็มีเพื่อนล้อแบบตรงๆเหมือนกัน ว่า ออยเจอแบบนี้บ้างก็น่าจะตื่นเต้นดีเนาะ เราก็ขำๆกับเค้าไป ไม่คิดไรมาก(แต่ฟังเรื่องจากพี่ต่าย ถ้าได้เจอกับตัวเองจริงๆ ก็คงเรื่องใหญ่เหมือนกัน) แล้วก็มีอีกครั้งนึง ตอนนั้นช่วงที่เพิ่งรู้ว่าเป็น ชักบ่อยๆแล้วเพื่อนเห็น ตอนนั้นเรียนราวด์วอร์ดอยู่ หลังจากนั้นเพื่อนผู้ชายกลุ่มนึงก็แอบคุยกัน เขียนอะไรซักอย่างแล้วก็หัวเราะ พอเราเดินผ่านเค้าก็บอกว่าไม่มีอะไร(ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ถาม) สรุปคือเค้าเอาเรื่องที่เราชักไปเขียนแบบลามกๆ แล้วก้ส่งให้เพื่อนผู้ชายคนอื่นดู ยังไม่พอ ส่งให้รุ่นพี่ดูด้วย บังเอิญพี่คนนั้นเค้าเป็นญาติหนู ด่าลั่นวอร์ดเลย ว่าทำไมทำกับผู้หญิงแบบนี้ แต่เค้าก็เก้บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋า ไม่รู้เอาไปทำอะไร หนูก็ไม่รู้ตอนนี้หลักฐานหายไปไหนแล้ว แต่ก็พยายามคิดว่า เราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ใครจะเขียนอะไร นินทาอะไร ช่างเขา อย่าไปเจ้าคิดเจ้าแค้น มันจะเป็นบาป อโหสิกรรมให้เค้าเถอะ

เรื่องโรคซึมเศร้า ออยยอมรับว่าตัวเองก็เป็นค่ะ เป็นโรควิตกกังวลและย้ำคิดย้ำทำด้วย เพราะเครียดจากเรื่องโรค เรื่องเรียน เรื่องเพื่อนมากเกินไป เมื่อไม่นานมานี้ หนูเครียดมากจนแทบจะฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเริ่มขาดสติไปแล้ว หนูเลยโทรไปคุยกับจิตแพทย์ท่านหนึ่งที่กรุงเทพ(ตอนประมาณตี1กว่า) ท่านก็ถาม ให้เราระบายความรุ้สึก และถามว่าถ้าจะฆ่าตัวตายตอนนี้จะทำยังไง เล่ามาให้ละเอียดเลย(หนูคิดว่าหนูจะกินยากันชักทั้งหมดในคืนนั้นเลย) เล่าจบแล้วท่านก็บอกว่า มันเป็นภาวะทางอารมณ์ ซึ่งมันผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ตอนนี้เราเศร้า เราอยากหนีจากความเศร้า เราคิดว่าตายแล้วจะหายเศร้า แต่เชื่อสิ ถ้าเราไม่ฆ่าตัวตาย ทนอีกหน่อย เดี่๋ยวมันก็หายเองได้ วันต่อมาหนูเลยขออาจารย์ลาเรียนไปพบจิตแพทย์ที่รพ.ทันที เพื่อนก็รู้ทั้งห้องว่าหนูไปไหน แต่หนูไม่ใส่ใจแล้ว ในใจคิดแค่ว่า ต้องเอาตัวเองให้รอด ต้องหายจากอาการนี้ให้ได้ก่อน ไม่ต้องคิดว่าใครเค้าจะว่ายังไง

พอกลับไปเรียน น้องๆ(ตอนนี้หนูต้องเรียนกับรุ่นน้องค่ะ) เค้าก็มาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ดีนะที่บางคนเข้าใจเรา อย่างช่วงที่เราซึมเศร้า ออยไม่คุยกับใครเลย แต่พอเรื่องงาน ถ้าไม่พอใจใครจะก้าวร้าว วีนแตก ด่าลงเฟสบุ๊ค ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ไม่ยอมทำงาน สุดท้ายเราก็ขอโทษเค้า เค้าก็อภัยให้เรา แต่ก็ไม่บางคนที่ไม่เชื่อ ยังไม่คุยด้วยอยู่ ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยมีเพื่อนไม่กี่คนที่เข้าใจก็เพียงพอแล้ว

ขอขอบคุณพี่ต่ายมากนะคะที่มาแชร์ประสบการณ์กัน ที่จริงมีเรื่องเล่าอีกเยอะเลย เล่าให้กันฟังเรื่อยๆก็ได้ค่ะ ถ้ามีเอกสารหรือหนังสือเล่มอื่นออกมาจะส่งให้อีกนะคะ       
"Life is not about waiting for the storms to pass... It's about learning how to dance in the rain."

 


Powered by EzPortal