Forum > ห้องนั่งเล่น

"คนที่เรามองไม่เห็น"

(1/2) > >>

Thanks-Epi:

**มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเ?หตุ
ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสี?ยการมองเห็น
แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัส?ให้มากขึ้น
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละท?าง
แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ
จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเห?นื่อยมาก
เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยา?ยามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใ?หม
- - - - - - - - - - - - - - - - - - -- -
นาทีนั้น ?..
เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ
แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ
เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงา?นตามปกติ
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอแล?ะพูดกับเธอว่า
ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ?
เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า .......
- - - - - - - - - - - - - - - - - -- - -- - -
สามเดือนที่ผ่านมา
ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะ?ขึ้นรถเมล์ตอนเช้า
มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย
และตามคุณลงรถไป
และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงาน?อย่างห่วงใย
และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้?ารอดูคุณขึ้นรถ
และคอยดูคุณจนคุณลงรถ
- - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - --
พอเธอได้ยินดังนั้น....
เธอก็นำตาไหลด้วยความตื้นตัน...?...และสำนึกผิด.........
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เค?ยทิ้งเธอไปไหน
 เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้อ?งคอยมารับมาส่งเธอซะอีก
- - -- - - - --- - - - - - - - - - - - -- - - - --- -เธอหวนนึกถึงคำพูด เขา ที่บ่นลอยๆ ออกมา บ่อยๆ ว่า
 ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ..
ดูอย่างคุณสิ...เมื่อวานยัง มองเห็น วันนี้ คุณมองไม่เห็นแล้ว....
เธอ คิดน้อยใจเขา มาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่า เขา เบื่อ
รำคาญ การเป็น คนตาบอดของเธอ...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า ....เขากลัวว่า วันนี้ พรุ่งนี้เขาจะตายไป...
แล้ว เธอ จะไม่สามารถ ไปไหนมาไหน หรือ มีชีวิตอยู่ เองได้ ถ้าขาดเขา.....
 

Panita singpor:
พี่จะบอกแม่ที่รักลูกไม่ให้กลัวเวลาพาน้องไป โรงเรียนให้สู้และให้กำลังใจโดยการเปลียบเทียบหรือเปล่าและอีกหลายๆอย่างที่ทำให้เราหายจากอาการลมชักด้วยตัวเอง   ถ้าตาเดาไม่ผิด

KATE:
อ่านแล้วได้แนวคิดดีๆมากๆเลยคะ
คนเป็นแม่คงได้แต่หวังว่าลูกจาช่วยเหลือตัวเองได้ในที่วันที่เราไม่อยู่

เกดเคยเป็นนะคะ ช่วยลูกทุกอย่าง ช่วยมากเกินไป เพราะความสงสาร
ซักพักมาคิดได้ว่าต้องสอนให้ทำเอง คิดได้ก็ทำใจเข้มแข็งแล้วเข้มงวดขึ้นคะ

Thanks-Epi:
พี่ต่ายหมายถึงรวมๆน่ะ บางคร้้งเวลาเราป่วย / หรือคนที่กำลังเครียด  เราจะมองไม่เห็นคนข้างๆ ที่รัก/ห่วงเรามาก เนื้อความก็เปรียบเทียบอย่างนั้น(ใช้ ญ ที่ตาบอด)  เราจะทุกข์จนมองไม่เห็นอะไรเลย

..คิดแต่  เราคือ คนที่โชคร้ายที่สุดในโลก / ทำไมต้องเป็นฉัน /ไม่มีใครเข้าใจ/เมื่อไหร่จะหาย

ลืมมองว่า อาจจะมีสายตาอีกคู่(หรือหลายคู่) มองเราอยู่ห่างๆ อาจจะไม่ได้แสดงออก หรือแสดงออกก็ไม่ถูกใจเรา เหมือนไม่เข้าใจเรา เพราะ เราไม่ได้สังเกตุนั่นเอง มันแต่จมอยู่กับความทุกข์

ความทุกข์ก็เหมือนกัน  หากเรา ถอยออกมา  แล้วมองอยู่ห่างๆ จะเห็นอะไรได้ชัดกว่ามองอยู่ใกล้ๆ เปรียบเหมือนเวลาเขาเตะบอล ถ้าอยู่ในสนาม คนเตะมักจะมองไม่เห็นว่าลูกวิ่งไปทางไหน   แต่คนเชียร์ ที่อยู่บนอัฒจันทร์ กลับมองได้ดีกว่าจ้า..

และคนไข้ผู้ใหญ่ที่กำลังคิดว่า หากไม่มีคนดูแลแล้ว คงไม่รู้จะทำอย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต นอกจากตัวเราเอง กำลังใจจากตัวเองจึงสำคัญมากๆ ว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปได้
โรคลมชักจะหายเมื่อไหร่ แม้หมอเองยังตอบให้ไม่ได้  การคิดบวกต่อสิ่งที่เรามีอยู่ สามารถเปลี่ยนอะไรๆ ได้ตั้งมากมาย เหมือนคนที่เขาประสบผลสำเร็จในชีวิต เขาจะไม่คิดว่า "เมื่อไหร่เขาจะทำได้" แต่จะคิดว่า
                              "ซักวันนึงที่เขาทำได้"

Thanks-Epi:
You are what you think
    "คนเราเป็นอย่างที่ตนคิดได้"Morris Goodman นักเขียนและวิทยากรระดับโลกกล่าวเอาไว้จากประสบการณ์ตรงในชีวิตของเขาเอง  Morris คือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินต้องนอนเป็นอัมพาตทั้งตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 1981, มอร์ริสชนเครื่องบิน  เส้นประสาทไขสันหลังของเขาถูกชน, กระดูกสันหลังปากมดลูกครั้งแรกและครั้งที่สองถูกทำลาย, ไดอะแฟรมถูกทำลายเป็นผลเขาไม่สามารถกินดื่มหรือหายใจโดยไม่ต้องช่วยเหลือจากภายนอก  แพทย์กล่าวว่าเขาจะมีชีวิตอยู่เช่นผัก    ทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้คือเพียงแค่กระพริบตา        หมอทุกคนลงความเห็นว่าเขาจะต้องนอนเป็นอัมพาตอยู่ที่โรงพยาบาลไปตลอด มอริส กู๊ดแมน บอกว่าสิ่งที่หมอคิดตอนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญต่อเขาเลย สิ่งที่เขาคิดคือเขาจะต้องออกจากโรงพยาบาลได้ คิดและมองเห็นภาพตัวเองหายเป็นปรกติ ความรู้สึกข้างในจิตใจของ Morris สั่งให้เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างและเขาเริ่มทำมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ  และสุดท้ายเขากลับมาหายเป็นปรกติ เดินได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หมอต่างลงความเห็นว่าเขาไม่มีวันหายหรือจะเดินได้ ปัจจุบัน Morris Goodman เป็นที่รู้จักในฐานะของมนุษย์ปาฏิหาริย์  เป็นตัวอย่างของบุคคลที่คิดและมองโลกในแง่ดี ซึ่งความคิดภายในจิตใจของคนเรานั้นมีพลังอำนาจอันลึกลับและไร้ขีดจำกัด และจริงที่อย่างที่ Morris ว่า "You are What you think"


"I will walk out of the hospital on my feet by Christmas"
http://www.inspiresoul.com/miracle-man-proof-that-your-mind-is-bigger-than-any-science/

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version