อ้างอิงจาก ศูนย์สมองโรงพยาบาลปิยะเวท
http://www.piyavate.com/epilepsy_th.phpโรคลมชัก
โรคลมชัก เป็นหนึ่งในความผิดปกติของระบบประสาทที่พบบ่อยที่สุด เป็นภาวะทางระบบประสาทที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการชัก ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลง อย่างเฉียบพลันของการส่งคลื่น สัญญาณกระแสไฟฟ้าของเซลล์สมอง โรคลมชัก มีหลายประเภท ได้แก่ การชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมองที่เรียกว่า ?Convulsions หรือ Generalized Seizures? และการชักที่มีผลต่อส่วนใดส่วนเหตุผลหนึ่งของสมองที่เรียกว่า ?Partial Seizures?
การชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ? ลมบ้าหมู ? อาการของลมชักประเภทนี้มักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน อาการแสดงที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคลมชักประเภทนี้ คือ ? อาการชักเกร็งทั้งตัว ? โดยช่วงแรกของการชัก ผู้ป่วยจะมีอาการเกร็ง และอาจหกล้ม หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะมีการ คลายตัวและตึงตัวเป็นจังหวะสลับกัน หลังจากการชักผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อย สับสน ปวดศีรษะ และอาจต้องการพักผ่อน เพื่อกลับสู่สภาวะปกติ นอกจากอาการชักเกร็งทั้งตัวหรือลมบ้าหมูแล้ว ยังมีอาการชักแบบอื่น ๆ อีก ที่จัดเป็นอาการชักที่เกิด จากการทำงานผิดปกติที่ทุกส่วนของสมอง เช่น อาการเหม่อลอย หรือเรียกว่า Absence Seizures
การชักที่มีผลต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของสมอง (Partial Seizures) อาการของลมชักประเภทนี้ สมองจะถูกรบกวนเพียงบางส่วน บางครั้งเรียกว่า ?Focal Seizures? อาการแสดงของผู้ป่วยจะขึ้นกับตำแหน่งของสมองที่ได้รับมีผลกระทบ การชักชนิดนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท โดยการรู้ตัวของผู้ป่วยคือ ?Simple Partial Seizures? และ ?Complex Partial Seizures? ถ้าผู้ป่วยมีสติขณะชักจัดเป็น ?Simple Partial Seizures? ผู้ป่วยอาจมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อแขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งเป็นจังหวะ หรือการรับรู้รสผิดปกติ หรือการรับสัมผัสที่ผิดปกติในบางส่วนของร่างกาย บางครั้ง Simple Partial Seizures อาจถือเป็นอาการเตือนบอกเหตุ ถ้าการชักของผู้ป่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบต่อการรู้ตัวจัดเป็น ?Complex Partial Seizures? ผู้ป่วยอาจจำเหตุการณ์ขณะชักได้เล็กน้อยหรือจำไม่ได้เลย การชักอาจแสดงอาการโดยการ เปลี่ยนแปลงการรับรู้พร้อมกับการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ เช่น การจับเสื้อผ้าหรือสิ่งของ การพูดพึมพำ หรือการเคี้ยวซ้ำๆ อย่างไร้จุดหมาย และสับสนบางครั้งในบางกรณี ผู้ป่วยอาจตอบสนองถ้าพูดด้วย อาการชักประเภทนี้มักเกิด จากความผิดปกติใน Temporal Lobes จึงอาจเรียกว่า ?Temporal Lobe Epilepsy? อย่างไรก็ตาม อาการชักประเภทนี้อาจเกิดจากความผิดปกติของสมองส่วน Frontal lobe, Parietal lobe และ Occipital lobe ได้เช่นกัน สำหรับผู้ป่วยบางราย การชักที่มีผลต่อส่วนหนึ่งของสมอง หรือ Partial Seizures ทั้ง 2 ประเภทนี้ อาจลุกลามไปมีผลต่อทุกส่วนของสมองได้ซึ่งหากเกิดขึ้นเราจะเรียกภาวะนี้ว่า ?Secondarily Generalized Seizure? ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวขณะชัก และถ้าอาการลุกลามอย่างรวดเร็วจนทำให้ป่วยไม่ทราบว่าตัวเองมีอาการชักแบบ Partial นั้นมาก่อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อผู้ป่วยมีการชักเกิดขึ้น โดยเฉพาะการชักแบบ Generalized หรือ Complex Partial Seizures ผู้ป่วยอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ข้อมูลการชักของผู้ป่วยจากบุคคลใกล้ชิดจะเป็น ประโยชน์อย่างมาก นอกจากนี้ในการวินิจฉัยโรคลมชักยังต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การตรวจเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) การตรวจสแกนสมอง เช่น การถ่ายภาพเอกซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (CT) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI) โดยทั่วไปการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคลมชักนั้นจะทำหลังจากที่ผู้ป่วยเคย มีอาการชักมากกว่า 1 ครั้ง นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคลมชักอาจเคยมีประสบการณ์ชักได้มากกว่าหนึ่งประเภท สิ่งสำคัญที่พึงตระหนักคือ ไม่มีการตรวจโดยวิธีใดๆ ที่จะสามารถยืนยันหรือวินิจฉัยโรคลมชักได้
สาเหตุของ โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชัก พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในคนอายุน้อย และผู้สูงอายุ หากดูที่อายุของการเกิดการชัก จะทำให้สาเหตุของการชักแบ่งได้กว้างมาก โรคลมชักเกิดได้จากทุกสาเหตุที่มีผลกระทบต่อสมอง อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าผู้ป่วยโรคลมชักบางรายจะหาสาเหตุของโรคนี้ไม่พบ โดยทั่วไปสาเหตุของโรคลมชักสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
Symptomatic Epilepsy เป็นโรคลมชักที่มีสาเหตุชัดเจน เช่นการที่สมองได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ การติดเชื้อในสมอง หรือ การที่สมองขาดเลือด ( Stroke ) หรือมีรอยแผลเป็นในสมอง โดยทั่ว ๆ ไป การตรวจสแกนสมองมักจะแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
Idiopathic Epilepsy เป็นโรคลมชัก ที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน แต่เชื่อว่าน่าจะมีส่วนมาจากกรรมพันธุ์ โดยที่ผู้ช่วยหรือคนในครอบครัว จะมีความต้านทานต่อการชักในระดับต่ำกว่าปกติ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักจะไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย
Cryptogenic Epilepsy เป็นสาเหตุที่ไม่สามารถจัดอยู่ใน 2 กลุ่มแรกได้ เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุของการชัก จะจัดผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มนี้ถึงแม้ว่าจะไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แต่เชื่อว่าน่าจะมีความผิดปกติทางร่างกาย
โรคลมชัก (Epilepsy) รักษาอย่างไร
พบว่า 70 % ของผู้ป่วยโรคลมชักสามารถควบคุมอาการชักได้โดยการใช้ยากันชัก ยากันชักนี้สามารถป้องกันการชักได้ แต่อย่างไรก็ตาม โรคลมชักนั้น ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน ยากันชักมีด้วยกันหลายชนิด การใช้ยาในแต่ละชนิดจะขึ้นกับลักษณะของอาการ
การชัก และประเภทของโรคลมชักที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ในผู้ป่วยบางราย เมื่อใช้ยากันชักไประยะหนึ่งจะมีแนวโน้มของการชักลดลง ทำให้สามารถหยุดการใช้ยากันชักได้ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยากันชักเป็นระยะเวลานานหรือตลอดชีวิต แม้ว่าจะหยุดชักแล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น ในผู้ป่วยที่มี รอยแผลเป็นในสมองยังคงมีอยู่ ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถ ควบคุมอาการของโรคลมชักได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดของการชักที่เป็นอยู่ ถ้าผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการใช้ยากันชัก ยังมีอีกหลายวิธีในการรักษาโรคลมชัก อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาเหล่านี้อาจ ไม่เหมาะกับผู้ป่วยทุกท่าน ที่ไม่ตอบสนองต่อยากันชัก
การรักษาโรคลมชักโดยการผ่าตัด (Epilepsy Surgery)
มีผู้ป่วยจำนวนเล็กน้อยที่อาจรักษาได้ผลด้วยวิธีการผ่าตัด การผ่าตัดจะถูกนำมาพิจารณา ถ้า
สามารถระบุตำแหน่งของรอยโรคในสมองที่ทำให้เกิดการชักได้
การใช้ยากันชักไม่ได้ผล
ตำแหน่งที่เป็นสามารถทำการผ่าตัดได้ โดยไม่ทำความเสียหายให้เนื้อสมองส่วนอื่น
ผู้ป่วยไม่มีผลกระทบจากการผ่าตัดเอาเนื้อสมองบางส่วนออก
ก่อนการผ่าตัด จะมีการตรวจวินิจฉัยโดยการทำ MRI Scan, การบันทึกวีดีโอ/ EEG และการทดสอบทางจิตเวช และระบบประสาทก่อน มากกว่า 70 % ของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด จะหายขาดจากอาการชักได้ และสิ่งสำคัญที่ต้องระลึกเสมอคือ หลังการผ่าตัดยังอาจจำเป็นต้องใช้ยาต่อในบางครั้ง
การกระตุ้นเส้นประสาท(Vagus nerve Stimulation, VNS)
VNS เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคลมชัก วัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวน ระยะเวลา และความรุนแรงของการชักลง โดยการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อนที่เส้นประสาท Vagus ข้างซ้าย และเส้นประสาทขนาดใหญ่ที่คอ VNS ไม่ใช่วิธีการรักษาโรคลมชักให้หายขาดได้ และผู้ป่วยมักต้องใช้ยากันชักควบคู่ไปด้วย ดังนั้น VNS มักใช้กับผู้ป่วยโรคลมชักที่คุมได้ยากและไม่สามารถรักษาโดยใช้วิธีผ่าตัดได้
เมื่อการชักเกิดขึ้นควรทำอย่างไร
อาการของโรคลมชักอาจทำให้ผู้พบเห็นเกิดการตกใจได้ แต่ผู้ป่วยที่มีอาการชักจะไม่มีอาการเจ็บปวด และอาจจำเหตุการณ์ขณะชักไม่ได้ หรือจำได้เพียงเล็กน้อย วิธีที่ควรทำขณะเกิดการชักคือ การป้องกันอันตราย ให้ผู้ป่วยขณะชัก จนกว่าผู้ป่วยจะหยุดชักเอง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชัก ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
อ้างอิงจาก ศูนย์สมองโรงพยาบาลปิยะเวท
http://www.piyavate.com/epilepsy_th.php