เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า

เชิญร่วมงาน รวมพลังสายใย...เสริมสร้างคุณภาพชีวิตผู้ป่วยลมชัก วันจันทร์ที่ 21 พ.ย.62 เวลา 9.00-15.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 รพ.พระมงกุฎเกล้า 

 

ผู้เขียน หัวข้อ: คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่?  (อ่าน 1846 ครั้ง)

ออฟไลน์ popja

  • Administrator
  • จอมพลัง
  • *****
  • กระทู้: 871
  • น้องวินลูกพ่อป๊อปแม่โบว์
    • แบ่งปันความรู้โรคลมชัก
คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่?
« เมื่อ: วันพุธที่ 03 พฤศจิกายน 2010 เวลา 23:43 น. »
ความ ที่ข้าพเจ้าเป็นคนช่างคิดก็อดที่จะคิดไม่ได้ ว่าอันคนร่ำรวยซึ่งมีตึกคฤหาสน์เป็นที่พำนัก พรั่งพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวารคนครัว คนรถ คนสวน คอบปรนนิบัติรับใช้ จะขยับตัวทำอะไรสักหน่อยบริวารก็วิ่งพล่านแย่งยื้อทำให้หมด แต่ละห้องในบ้านก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ บรรดาลูกๆ ก็ล้วนได้รับการส่งเสียให้ได้เล่าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อ และการไปโรงเรียนหรือกลับบ้านก็มีคนขับรถรับ-ส่งให้เสร็จ อยากจะได้อะไรก็ได้เพราะมีเงินมีทองร่ำรวยมหาศาล ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย และเมื่ออยากจะทำบุญก็สามารถจะควักเงินออกทำบุญครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็น ล้านได้อย่างสบายๆ ผิดกับคนที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายหางานทำ พอได้ค่าจ้างมาซื้อกรอกหม้อ และกับราคาถูก ไปเพียงวันหนึ่งๆ ไหนจะต้องวิตกกังวลในเรื่องค่าเช่าบ้าน ไหนจะค่าเล่าเรียน ไหนจะดอกเบี้ยที่ไปกู้ยืมเขามา จิปาถะ มิหนำซ้ำบ้านที่อยู่ก็อุดอู้หาความสะดวกสบายใดๆ มิได้เลยและแม้เมื่ออยากจะสร้างกุศลผลบุญกับเขาบ้างก็คงจะทำได้เพียงครั้งละ 5 บาท 10 บาท เป็นอย่างมาก

ดัง นั้นเมื่อความแตกต่าง ระหว่างคนร่ำรวยกับคนจนมีมากเช่นนี้จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า โอกาสในการสร้างบุญกุศลของคนร่ำรวยย่อมจะมีได้มากกว่าคนจน และเมื่อเป็นเช่นนี้อีกกี่ภพกี่ชาติหากเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ย่อมเป็นคนร่ำรวยอีก ส่วนคนจนนั้นก็จะน่าจะต้องยากจนอยู่เช่นนั้นทุกภพทุกชาติไปซิ


ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ เลียบเคียงถามหลวงพ่อว่า


?หลวง พ่อครับ บรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งหลายนั้นมีความเป็นอยู่ที่พรั่งพร้อมมีความสุขและ สะดวกสบายไปเสียทุกอยาง ผิดกับคนจนที่มีความวิตกทุกข์ร้อนทั้งในด้านการงาน,ค่าเล่าเรียนลูก,ค่าเช่า บ้าน,ดอกเบี้ยที่ไปกู้ยืมเขามาจิปาถะ
ดังนั้นคนร่ำรวยซึ่งไม่มีความทุกข์ก็ย่อมได้เปรียบคนยากจนซึ่งมีความทุกข์ ในกาสร้างบุญกุศลใช่ไหมครับ??


?คุณรู้ได้อย่างไรว่าคนร่ำรวยไม่มีทุกข์?? หลวงพ่อย้อนถาม

?จะ มีทุกข์อะไรล่ะครับ อยู่คฤหาสน์โอ่อ่า มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบ จะขยับตัวทำอะไรสักหน่อยข้าทาสบริวารก็วิ่งกันพล่านยื้อแย่งทำให้หมด อยากจะได้อะไรก็ได้ เพราะมีเงินทองร่ำรวยมหาศาล?ข้าพเจ้าอธิบาย

?เอ้อ คุณเคยเจ็บไข้ ได้ป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน แขนหัก ขาหัก ออกหัด อีสุกอีใสอีดำอีแดง กับเขาบ้างไหม??หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

?เคยซิครับ และดูเหมือนจะเป็นมาแล้วทุกอย่างที่หลวงพ่อถามนั่นแหละครับ?ข้าพเจ้าชักลังเลไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมาในรูปใด

?แล้วในระหว่างที่คุณเจ็บไข้ได้ป่วยนะ คุณเป็นทุกข์ไหม??หลวงพ่อถามต่อ

?เป็นทุกข์สิครับ?ข้าพเจ้าตอบ


?แล้วคนร่ำรวย เขาต้องเจ็บป่วยอย่างคุณบ้างไหมหรือว่าคนร่ำรวยไม่มีสิทธิ์เจ็บไข้ได้ป่วย??หลวงพ่อถามเรื่อยๆ


?ก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือน๐ กันแหละครับแต่เขาคงมีหมอมีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด?ข้าพเจ้าตอบเสียงอ่อยๆ แต่คุณอย่าลืมนะว่า


?คน ร่ำรวยหัวไม่แข็งอย่างคนจน เจ็บนิดเจ็บหน่อยละก้อเขาเป็นทุกข์กว่าคนจนเสียอีกนะ ความเจ็บไข้บางชนิดคนจนเป็นวันสองวันก็หาย บางทีเป็นเองหายเองได้เช่นหวัด แต่ถ้าคนร่ำรวยเป็นอาจต้องฉีดยา นอนให้น้ำเกลือกันทีเดียวทุกข์กว่าคนจนอีกนะ?หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามว่า ?แล้วคนร่ำรวยมีสิทธิ์แก่ชราหรือตายไหม??


?โธ่ หลวงพ่อจะมีหรือจนเกิดมาก็ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตายทุกคนแหละครับ?ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง


?แล้วคุณว่า ความเจ็บ ความแก่ ความตายเป็นทุกข์ไหม?? หลวงพ่อถาม


?เป็นทุกข์สิครับ แม้เพียงแค่คิดถึงก็เกิดทุกข์แล้วครับ?? ข้าพเจ้าตอบ


?แล้วบิดา มารดา ลูก เมีย ของคุณต้องตายจากไปก็ดีหรือข้าวของเครื่องใช้ที่คุณรักใคร่หวงแหนหายไปคุณเป็นทุกข์ไหม?? หลวงพ่อถาม

?เป็นทุกข์สิครับ มากด้วย?ข้าพเจ้าตอบ


การ พลัดพรากจากของรัก ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้นนะ ไม่ว่าคนร่ำรวยหรือคนจน หากประสบเข้าก็ล้วนทุกข์ทั้งสิ้น ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนะความจริงแล้วคนร่ำรวยที่มีกิจการใหญ่โตเขาก็ต้องกู้ เงินธนาคารมาลงทุนนะ ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกัน มิหนำซ้ำจำนวนมากมายเสียด้วย ยิ่งถ้าวางแผนไว้ผิดเขาก็ต้องคิดหนัก ทุกข์หนักกว่าคนจนเสียอีกบางคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มีบ้านช่องก็ถูกยึดไปก็มี ส่วนการมีข้าทาสบริวานมากน่ะ ยิ่งมากเท่าไรปัญหาก็ยิ่งมากเท่านั้นนะ และยิ่งคนร่ำรวยมีกิจการมากมายไม่มีเวลาอบรมลูก อีกทั้งลูกก็ถือว่าพ่อแม่ร่ำรวยประพฤติตนไปในทางเสื่อมเสียก็ยิ่งทำให้พ่อ แม่ทุกข์หนักได้เช่นกัน ดังนั้นคนร่ำรวยก็ดี คนจนก็ดี ล้วนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใครหรอก เป็นแต่ว่ามีทุกข์กันคนละรูปแบบเท่านั้นเองนะ?หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด


?แต่ คนร่ำรวยก็ยังได้เปรียบกว่าคนจนในการทำบุญอยู่ดีแหละครับหลวงพ่อ เพราะคนร่ำรวยอาจทำบุญได้ครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านได้ในขณะที่คนจนทำ บุญได้ครั้งละ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเอง?ข้าพเจ้าติง


?การทำบุญ ด้วยเงินก็ดี อาหารก็ดี เสื้อผ้าก็ดี หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี เขาเรียกว่า ?วัตถุทาน? นะ และกุศลผลบุญอันจะเกิดจากวัตถุทานนั้น หาได้วัดกันที่จำนวนเงินหรือจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ไม่แต่เขาวัดกันที่องค์ ประกอบ 3 อย่างคือ


1- ผู้มีความเต็มใจในการให้(ถึงพร้อมด้วยเจตนา)


2- วัตถุทานที่ให้นั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์(ถึงพร้อมด้วยไทยธรรม)


3- ผู้รับมีความบริสุทธิ์(ถึงพร้อมด้วยบุญเขต)


ดัง นั้นหากคน จนบริจาคเงินทำบุญเพียงแค่ 5 บาท 10 บาทแต่มีความเต็มใจในการทำบุญ อีกทั้งเงินที่ทำนั้นหามาได้อย่างสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ก็ย่อมได้กุศลผลบุญมากกว่าคนร่ำรวยที่บริจาคเงินเป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้าน ด้วยเจตนาที่หวังอวดหรือแบ่งทับผู้อื่น หรือว่าเงินที่บริจาคนั้นได้มาเพราะคดโกงเขามานะ?หลวงพ่ออธิบาย ทำให้ข้าพเจ้าค่อยยิ้มออก

?แล้วที่ว่าผู้รับบริสุทธิ์ล่ะครับ หมายความว่าอย่างไรครับ??ข้าพเจ้าถาม

?อ๋อ หมายความว่า ให้ทานแก่ท่านที่เป็นอริยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของโลกมีอานิสงส์สูงมาก พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบไว้ดังนี้


-ให้ทานแก่พระสกิทาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระโสดาบัน 100 ครั้ง

-ให้ทานแก่พระอนาคามี 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระสกิทาคามี 100 ครั้ง

-ให้ทานแก่พระอรหันต์ 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอนาคามี 100 ครั้ง

-ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง มีผลมากกว่าให้ทานแก่พระอรหันต์ 100ครั้ง

-ให้ทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้งมีผลมากกว่าให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง

-ให้ทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข (สังฆทาน)มีผลมากกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง

และ การสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มา จากจตุรทิศมีผลมากกว่าสังฆทานเข้าใจหรือยัง?? หลวงพ่ออธิบายอย่างอารมณ์ดี และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้ายังสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า

?ความจริงแล้ว วัตถุทานนี้แม้ไม่มีเงินสักบาทเดียวก็ทำได้นะ?

?ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ??ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ

?ก็ คอยโมทนาเขาไงล่ะ ใครถวายเงินแสน เงินล้าน คุณก็ยกมือไหว้กำหนดจิตโมทนาไปกับเขาด้วย เขาได้บุญเท่าไร คุณก็ได้เท่านั้นแหละดีไหมล่ะ ไม่ต้องไปอิจฉาคนร่ำรวยให้เสียเวลาจริงไหม??หลวงพ่อตอบ
?แบบนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้อื่นเหรอครับ??ข้าพเจ้าถามอย่างติดใจสงสัย

?ไม่ เอาเปรียบหรอก เพราะคุณจะโมทนาหรือไม่ ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ผู้ทำบุญนี่ เขาก็ยังได้บุญของเขาเต็มที่อย่างเดิมนั่นแหละแต่ อย่างไรก็ตาม วัตถุทานนี้ก็เป็นเพียงแค่ทานเบื้องต้นเท่านั้นนะ ยังมีทานแบบอื่นที่ไม่ต้องใช้เงินทองเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ให้กุศลผลบุญได้สูงกว่าวัตถุทานเสียอีกนะ?หลวงพ่ออธิบาย

?ทำทานแบบใดล่ะครับ??ข้าพเจ้ารีบถามด้วยความสนใจ


?อภัยทาน อย่างไรล่ะ ใครเขาทำผิดคิดร้ายต่อคุณอย่างไร คุณก็ไม่ถือโกรธ อภัยให้เขาเสีย เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านให้อภัยให้แก่บรรดาผู้คนที่มุ่งร้ายต่อองค์ท่าน นั่นแหละ เห็นไหมไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียวแต่ได้กุศลผลบุญมากกว่าบริจาคเงินเป็น จำนวนมากๆเสียด้วยซ้ำไป?หลวงพ่ออธิบายยิ้มๆ


?แหม หลวงพ่อครับได้บุญมากโดย ไม่เสียเงินก็จริง แต่มันทำได้ยากนะครับ โดยเฉพาะผมแล้ว ผมชอบประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนแบบเกลือจิ้มเกลือ คือดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายตอบ แรงมาก็แรงไป หวานมาก็หวานไป อะไรทำนองนี้แหละครับ มันค่อยมีชีวิตชีวาหน่อยขืนอภัยให้บ่อยๆ คนเลวๆ เหล่านั้นก็ยิ่งได้ใจใหญ่คิดว่าเราแหยซิครับเคยแค่แอบลอบนินทาลอบกัดลับหลัง คราวนี้ละก็มันต้องบุกเข้ามาด่าว่าท้าทายถึงในบ้านเป็นแน่?ข้าพเจ้าให้ เหตุผลไปตามที่คิด

?อ้าว อยากได้บุญมาก หนำซ้ำไม่ต้องเสียเงินเสียมองด้วยก็ต้องยากหน่อยซิ แต่ก็มิใช่ยากเย็นจนทำไม่ได้นะ หากคุณควบคุมสติได้แล้วคิดว่า โอ หนอ คนเลวเหล่านี้ คงรับกรรมอยู่ในนรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉานมานานหลายภพหลายชาติแล้ว กว่าจะชดใช้กรรมชั่วหมดได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาชาติแรกได้ ก็ต้องทนทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส มาหลายกัปหลายกัลป์ แม้เป็นมนุษย์แล้วความเลวร้ายความดุร้ายก็ยังติดตามมาตามสันดานดั้งเดิมอีก ดังนั้นเราเองซึ่งเป็นมนุษย์ที่สร้างสมบุญบารมีมาแล้วหลายภพหลายชาติ จะใช้วิธีแบบเกลือจิ้มเกลือ คือร้ายมาก็ร้ายไป เลวมาก็เลวไปอย่างที่คุณว่าแล้ว เรามิต้องเป็นคนเลวไปเช่นเขาเหล่านั้นหรอกหรือ ต้องพยายามคิดอย่างนี้นะแล้วในที่สุดคุณจะให้ ?อภัยทาน? ได้เองนะ ยิ่งถ้าคุณได้เจริญวิปัสสนาญาณด้วยแล้วการให้อภัยทานจะเป็นของง่ายมาก? หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้าสนใจก็พูดต่อว่า ?ยังมีทานที่ไม่ต้องใช้เงินทองแต่ได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานอีกนะ?

?ทานอะไรหรือครับ ที่สูงกว่าอภัยทาน?ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

?ก็ ธรรมทาน ยังไงล่ะ สร้าง สมได้โดยช่วยชี้แนะสั่งสอนผู้คนที่ประพฤติตนหลงผิด คิดชั่วให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ช่วยนำทางคนที่เดินทางผิดให้มาเดินถูกทางนั่นแหละ ธรรมทานนี้จะได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานนะ เพราะแม้เราให้อภัยทานแก่คนที่เลวร้ายไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็หาได้อยู่รอดปลอดภัยไม่ อาจถูกคนอื่นที่เขาไม่ให้อภัยกำจัดเสียก็ได้ แต่ถ้าเราให้ธรรมทาน จนสามารถทำให้คนเลวกลับกลายมาเป็นคนดีเสียได้เขาจะอยู่ได้โดยรอดปลอดภัยใช่ ไหม?? หลวงพ่ออธิบาย


?ครับ แต่แหม มันก็ยิ่งยากกว่าให้อภัยอีกทานเสียอีก เพราะอภัยทานนั้น เราเพียงอภัยในใจไม่ต้องไปข้องแวะกับคนเลวๆ พรรค์นั้นเขาร้ายมาเราก็เลี่ยงเสีย เขาด่าเขานินทาเราก็เอาหูทวนลมเสีย แต่ถ้าถึงขั้นต้องพาตัวเข้าไปอบรมสั่งสอนคนชั่วร้ายเช่นนั้น คงไม่ไหวหรอกครับหลวงพ่อ?ข้าพเจ้าตอบพร้อมส่ายหัวอย่างท้อแท้

?อ้าว ถ้าคุณยังทำใจไม่ได้ ก็ต้องรู้จักใช้อุบายสิ เช่น ถ้าคุณรู้ว่าคนเลวผู้นั้นนับถือใคร หรือเกรงใจใครและบังเอิญคุณก็รักใคร่ชอบพอกับเขา ก็ขอความร่วมมือกับเขา ฝากหนังสือธรรมะไปให้อ่านบ้างหรือให้เขาหาทางชวนไปหาพระฟังธรรมะบ้าง หรือหาทางล่อหลอกพามาหาฉันก็ได้นะ อย่างนี้คุณก็ได้ธรรมทานด้วยเช่นกัน? หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังก็พูดต่อว่า ?ยังมีวิธีสร้างกุศลผลบุญที่สูงกว่า ทานทั้งหลายโดยไม่ต้องเสียเงินและข้องแวะกับบุคคลอื่นอีกด้วยนะ?

?ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ?ข้าพเจ้ารีบถามอย่างกระตือรือร้น

?ก็ รักษาศีล อย่างไรเล่า อย่างคุณรักษาแค่ศีล 5 ให้บริสุทธิ์ก็พอแล้วได้บุญมากกว่าการให้ทานทุกรูปแบบเสียอีกนะ และยิ่งอยากได้กุศลผลบุญมากกว่ารักษาศีลก็ต้อง เจริญภาวนาให้ได้ ฌานสมาบัติ นะหากคุณ สามารถทรงฌานได้ และจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาที หรือแค่ช้างกระดิกหูเท่านั้นคุณจะได้กุศลผลบุญมากเสียกว่าบวชตั้งหลายพรรษา โดยมิได้เจริญภาวนาเสียอีกนะ?หลวงพ่ออธิบาย

?เอ ถ้ายังงั้น ผมเลือกสร้างกุศลผลบุญด้วยการเจริญภาวนาเสียเลยจะมิดีกว่าหรือครับ?? ได้บุญสูงกว่าการให้ทาน และรักษาศีลเสียอีกข้าพเจ้าและให้ข้อคิดเห็น


?มัน ไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดนะซี การขึ้นบันไดเขาต้องขึ้นทีละขั้นมิใช่กระโดดทีเดียวขึ้นไปอยู่บันไดขั้นสูง สุดเลย ดีไม่ดีตกมาแข้งขาหักนะ
การให้ทานบ่อยๆ ย่อมทำให้เกิดตัวเมตตา คือ ความรักบังเกิด ตัวกรุณา คือความสงสารเกิด
และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ทำให้คุณเกิดความละอายที่จะผิดศีลโดยเฉพาะศีล 5
และเมื่อศีล 5 บริสุทธิ์การเจริญภาวนาก็เป็นไปได้โดยง่ายมันเป็นบันได 3 ขั้นนะ จะกระโดดพรวดพราวไปเจริญภาวนาเลยมันก็ยากเย็น

หาก ไม่มีการให้ทานและการรักษาศีล มาก่อน เสมือนหนึ่งกระโดดจากพื้นขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายนั่นแหละ แต่ก็อาจทำได้นะ ถ้าคุณมีวิชาตัวเบาเหมือนในหนังจีน

และก็เคยมีคนในสมัยพระพุทธเจ้าทำ มาแล้วด้วยเหมือนกันคือ ท่านผู้นั้นดูถูกว่าการให้ทานเป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำ จึงมุ่งรักษาศีลและเจริญภาวนาไปเลย ด้วยกุศลผลบุญดังกล่าวเมื่อตายไปก็เป็นผลทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชใน พระพุทธศาสนาเมื่อบวชใหม่ได้ออกบิณฑบาตแต่เนื่องจากท่านอาวุโสน้อยที่สุด จึงต้องเดินท้ายสุดปรากฏว่า ชาวบ้านที่นำอาหารมาใส่บาตร พอใส่มาถึงท่านนั้นอาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรป่าวกลับมาอาศรมและต้องอาศัยภัตตาหารจากพระรูป อื่นที่แบ่งปันให้พอได้ขบฉันบ้าง



ในวันรุ่งขึ้น พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้พระท่านนั้น ออกเดินนำหน้าพระภิกษุรูปอื่นออกบิณฑบาต โดยให้เหตุผลว่าเมื่อวานนี้พระท่านนั้นเดินท้ายแถวจึงไม่ได้อาหาร ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านที่นำอาหารมาคอยใส่บาตรกลับนัดแนะกันว่า เมื่อวานนี้พวกเราใส่บาตรจากหัวไปทางท้ายแถวทำให้พระท่านหนึ่งซึ่งอยู่ท้าย แถวไม่ได้รับอาหารเลย ดังนั้นวันนี้เราจงใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถวเพื่อเป็นการชดเชยเถิด ด้วยเหตุนี้เมื่อพระมา ชาวบ้านก็ใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถว และพอใส่บาตรมาถึงพระท่านนั้นที่อยู่หัวแถวอาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรม เช่นเดียวกับวันแรกอีก



ใน วันต่อมา พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้ท่านนั้นออกบิณฑบาตโดยให้เดิน อยู่ในตำแหน่งกลางแถวในวันต่อไป โดยให้เหตุผลว่า คราวนี้แม้ชาวบ้านจะใส่บาตรจากหัวแถว หรือท้ายแถวมาก็ตามพระท่านนั้นย่อมต้องได้ภัตตาหารแน่ ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านก็กลับปรึกษากันว่าสองวันแล้วนะที่เรานำอาหารมาใส่บาตร และไม่ว่าจะใส่บาตรจากหัวแถวไปหาท้ายแถว หรือใส่บาตรจากท้ายแถวย้อนไปทางหัวแถวก็ตามมีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่เคยได้รับ อาหารเลยนะ อย่ากระนั้นเลยในวันรุ่นขึ้นพวกเราจงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเถิด คือกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากหัวแถวไปทางท้ายแถว และอีกกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากท้ายแถวไปหาหัวแถว เพราะถ้าทำวิธีนี้แล้วไม่ว่าพระท่านนั้นจะเดินบิณฑบาตอยู่หัวแถว หรือท้ายแถวก็ตามที ย่อมต้องได้ภัตตาหารจากพวกเราอย่างแน่นอน


ดัง นั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อพระออก บิณฑบาตชาวบ้านก็แยกออกเป็น 2 กลุ่ม และแยกกันใส่บาตรตามวิธีการที่คิดเอาไว้ ปรากฏว่า พอถึงพระท่านนั้นที่ยืมอยู่ตรงกลาง อาหารก็หมดพอดี ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรมในวันที่ 4 พระอุปัชฌาย์จึงให้พระบวชให้เข้าแถวเป็นองค์ที่สองต่อจากท่านเมื่อชาวบ้านมา ใส่บาตร เมื่อใส่องค์แรกแล้วก็ข้ามไปใส่องค์ที่สาม เนื่องจากมองไม่เห็นบาตรองค์ที่สองพระอุปัชฌาย์จึงให้มือของท่านจับปากบาตร รพระบวชใหม่ไว้ ชาวบ้านจึงเห็นบาตรของพระองค์ที่สอง และใส่บาตรของท่านได้โดยอาศัยทานบารมีของพระอุปัชฌาย์



เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทราบเรื่องราวแล้ว จึงได้ทรงอธิบายว่า พระท่านนั้นในอดีตชาติมิได้สร้างสมทานบารมีมาเลย ด้วยดูถูกว่าทานบารมี เป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำจึงมุ่งแต่รักษาศีลและเจริญภาวนา ดังนั้นเมื่อมาเกิดในชาตินี้จึงขาดลาภและขาดแคลนในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อาหารการกินดังที่ได้ประจักษ์แล้ว ผิดกับพระสีวลีซึ่งในอดีตสร้างทานบารมีมามาก มาในชาตินี้จึงอุดมสมบูรณ์เป็นยังไงล่ะคุณมนูญ จะเอาย่างพระท่านนั้นหรือ?? หลวงพ่ออธิบายโดยละเอียดแล้วย้อยถามข้าพเจ้า



อ้างอิงจาก
http://board.palungjit.com/f130/คนร่ำรวยมีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มากกว่าคนจนจริงหรือไม่-15662.html
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันพุธที่ 03 พฤศจิกายน 2010 เวลา 23:53 น. โดย popja »
สู้สู้

 


Powered by EzPortal